[mashshare]
กระแสการนำของเก่ามาเล่าใหม่นั้นเป็นธรรมดาของวงการหนังที่จะได้รับการจับตามอง โดยเฉพาะการนำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเอากลับมาสร้างเป็นหนังยิ่งถูกจับตามองยิ่งการเอาไลฟ์แอคชั่นขบวนการ 5 สีมาทำเป็นหนังใหญ่ก็ยิ่งโดนจับตาและได้รับความสนใจจากติ่งขบวนการ 5 สีเป็นพิเศษ
ดังนั้นเมื่อมาถึงช่วงเวลาของ Power Rangers ก็เลยมีแฟนๆ คาดหวังว่าจะได้เห็นฮีโร่ของตัวเองไปยืนเท่อยู่บนจอเงินกับเขาบ้างเทียบชั้นฮีโร่ในการ์ตูนทั้งค่าย Marvel และ DC และในทันทีที่มีโปสเตอร์พร้อมตัวอย่างพาวเวอร์เรนเจอร์ปล่อยออกมา ความทรงจำในวัยเด็กของหลายคนที่เคยดูจูเรนเจอร์ และพาวเวอร์เรนเจอร์ตื่นขึ้นอีกครั้ง
รู้จักกับ Power Rangers
+ Power Rangers เป็นฮีโร่ขบวนการ 5 สีขบวนการแรกที่นายทุนฝั่งอเมริกา Saban ซื้อลิขสิทธิ์จากขบวนการจูเรนเจอร์จากโตเอะ
+ ฉายครั้งแรกปี 1993
+ เคยถูกสร้างเป็นหนังใหญ่เมื่อปี 1995
+ มีการเปลี่ยนบทนักรบคนที่ 6 เป็นสีขาวซึ่งเอามาจากคิบะ เรนเจอร์ คนรบในขบวนการไดเรนเจอร์
+ เป็นขบวนการ 5 สีพยายามเจาะกลุ่มผู้ชมเป็นเด็กทุกเชื้อชาติโดยเพิ่มนักแสดงผิวสี และนักแสดงจากเอเชียไปเป็นหนึ่งในฮีโร่ ซึ่งต่อมากลายเป็นรูปแบบของการแคสนักแสดงมาโดยตลอด
+ มีการปรับเปลี่ยนบทโดยเพิ่มตัวร้ายใหม่อย่างริต้า (ในจูเรนเจอร์ มีบอสเป็นบันโดร่า) และซอร์ดอน กับอัลฟ่า ไฟท์ กลายเป็นผู้ช่วยของเหล่าเรนเจอร์แทน ขณะที่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นไม่มี
+ Power Rangens มีทั้งหมด 3 ซีซั่น
การสร้างหนังใหญ่ที่มาพร้อมความคาดหวัง
อย่างที่บอกในตอนแรกว่าซีรีย์ Power Ranger เคยถูกสร้างเป็นหนังไปแล้วในปี 1995 คะแนนที่ได้รับก็เป็นระดับกลางไม่แย่หรือดี แต่ในฐานะเด็กคนหนึ่งที่เคยดูมาหมดทั้งจูเรนเจอร์ พาวเวอร์เรนเจอร์ ในวันนั้นเราคิดย้อนไปแล้วรู้สึกว่าสนุก แต่พอเอามาดูย้อนหลังอีกทีกลับคิดว่าไม่สนุกระดับนั้น ข้อนี้เราเข้าใจได้ว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป และเราเองที่โตขึ้น
เอาเข้าจริงๆ เรามีความกังวลว่า Power Rangers 2017 อาจไม่สามารถทำได้ ‘ถึง’ จนผู้ชมหวนคิดถึงวันเด็กที่เคยตื่นเต้นนับฮีโร่ในชุดผ้าหลากสี ทั้งด้วยบท และรายละเอียดหลายอย่างที่หากนำมาขยายสเกลเป็นหนังใหญ่ก็อาจจะยังทำได้ไม่ดีพอ เพราะหากจะทำให้คนดูรำลึกถึงความหวังวัยเด็กได้ อาจจะต้องใช้เวลาปูเรื่องหรือทำความเข้าใจและไม่รวบรัดตัดตอนจนจนเกินไป
เนื่องจากผู้สร้าง บอกว่านี่จะเป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด และมีข่าวว่านี่จะเป็นมหากาพย์ถึง 6 ภาคด้วยกัน ดังนั้นภาคแรกน่าจะต้องเดินเรื่องให้ดี มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ดังนั้นก่อนเข้าไปดูทำใจไว้แล้วล่ะว่าไม่น่าจะดี นี่ขนาดเป็นติ่งทั้งจูเรนเจอร์ และพาวเวอร์เรนเจอร์ นะยังทำใจไว้ก่อนเลย
หนังพาไปรู้จักนักรบ 5 สีด้วยวิธีเล่าแบบรวบรัดเกินไป
โดยต้นตำหรับแล้ว Power Rangers เป็นหนังที่พูดถึงมิตรภาพและพลังความสามัคคีของคนรุ่นใหม่ที่แตกต่าง 5 คนแต่รวมพลังกันเพื่อทำภารกิจพิทักษ์โลก ซึ่งด้วยตัวหนังพยายามจะเล่าเรื่องเช่นนั้น เนื่องจากนักรบ 5 คนเป็นจุดขายแต่หนังมีการปูเรื่องที่รวบรัดตัดตอน จนไม่เห็นความมีมิติของตัวละครทั้ง 5 สักเท่าไห่ร่
สิ่งที่พอจับได้จากหนังเรื่องนี้คือทุกคนเป็นเด็กมีปัญหาเหมือนกันทั้งทะเลาะกับที่บ้าน พ่อตาย เพื่อนไม่รัก และอยู่กับแม่เพียงลำพังไร้เพื่อน ปูปูมหลังมาเพียงเท่านี้ แต่จู่ๆ ก็ทำให้ 5 คนสนิทกันเร็วขึ้นราวกับว่าเป็นเพื่อนกันมานาน
เข้าใจว่าหนังพยายามจะรีบเร่งเพราะกลัวคนดูจะเบื่อ แต่การสร้างมิติของตัวละครก็เป็นสิ่งสำคัญ แม้หนังพยายามจะแทรกปูมหลังของแต่ละคนผ่านฉากต่างๆ ทว่าเรายังไม่ได้รู้สึกถึงความสนิทที่พวกเขามีให้กันมากนัก และยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรที่เป็นจุดเชื่อมโยงของมิตรภาพ (เข้าใจว่าเวลาในหนังมันน้อยไปเลยเล่ามากไม่ได้ ซึ่งน่าเสียดาย)
หนังพาไปรู้จักนักรบ 5 สีด้วยวิธีเล่าแบบรวบรัดเกินไป
โดยต้นตำหรับแล้ว Power Rangers เป็นหนังที่พูดถึงมิตรภาพและพลังความสามัคคีของคนรุ่นใหม่ที่แตกต่าง 5 คนแต่รวมพลังกันเพื่อทำภารกิจพิทักษ์โลก ซึ่งด้วยตัวหนังพยายามจะเล่าเรื่องเช่นนั้น เนื่องจากนักรบ 5 คนเป็นจุดขายแต่หนังมีการปูเรื่องที่รวบรัดตัดตอน จนไม่เห็นความมีมิติของตัวละครทั้ง 5 สักเท่าไห่ร่
สิ่งที่พอจับได้จากหนังเรื่องนี้คือทุกคนเป็นเด็กมีปัญหาเหมือนกันทั้งทะเลาะกับที่บ้าน พ่อตาย เพื่อนไม่รัก และอยู่กับแม่เพียงลำพังไร้เพื่อน ปูปูมหลังมาเพียงเท่านี้ แต่จู่ๆ ก็ทำให้ 5 คนสนิทกันเร็วขึ้นราวกับว่าเป็นเพื่อนกันมานาน
เข้าใจว่าหนังพยายามจะรีบเร่งเพราะกลัวคนดูจะเบื่อ แต่การสร้างมิติของตัวละครก็เป็นสิ่งสำคัญ แม้หนังพยายามจะแทรกปูมหลังของแต่ละคนผ่านฉากต่างๆ ทว่าเรายังไม่ได้รู้สึกถึงความสนิทที่พวกเขามีให้กันมากนัก และยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรที่เป็นจุดเชื่อมโยงของมิตรภาพ (เข้าใจว่าเวลาในหนังมันน้อยไปเลยเล่ามากไม่ได้ ซึ่งน่าเสียดาย)
สเกลพลังดูยิ่งใหญ่แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่นะ
เนื้อเรื่องพูดถึงสงครามแย่งชิงอัญมณีเพื่อครองจักรวาล โดยเล่าว่ามีนักรบที่พิทักษ์จักรวาล 6 คน 6 สี แต่คนที่ 6 ซึ่งเป็นสีเขียวชื่อ ริต้า รีพัลซา เป็นคนทรยศไล่ฆ่าเรนเจอร์ทั้งหมด (แต่ในเรื่องบอกว่าเธอฆ่าสีเหลืองคนเดียว) เพื่อที่จะชิงอัญมณีมาครองจักรวาล แต่นักรบสีแดง ซอร์ดอน ต่อสู้จนวาระสุดท้าย ก่อนจะโดนฆ่าซอร์ดอนเรียกอุกาบาตมาถล่มโลกหวังจะตายไปพร้อมกับริต้า เพื่อปกป้องจักรวาล นั่นแสดงว่าริต้า นี่พลังไม่ธรรมดา
แต่พอถึงฉากต่อสู้กับเหล่าเรนเจอร์น้อยทั้ง 5 คนกลับกลายเป็นว่าสงครามระดับจักรวาลในตอนแรกถึงกลายเป็นสงครามระดับหมู่บ้าน เหตุการณ์หลักของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าแองเจิ้ล โกล์ฟ ซึ่งริต้า ไปถล่มเมืองนั้นเพื่อจะหาอัญมณีทั้ง 5 ที่บิลลี่ บลูเรนเจอร์เอาไปซ่อนในร้าน
การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างน่ารัก ไม่ได้ดูรุนแรงและยิ่งใหญ่ ทั้งที่ริต้า ถูกอวยมาตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือตัวร้ายระดับจักรวาล ตอนแรกเราเข้าใจว่าจะได้เห็นความวิบัติระดับเหมือนที่เหล่าอัลตรอน เคยพังเมืองโคโซเวีย ใน Avengers หรือนายพลซอร์ดซัดกับซูปเปอร์แมนจนเมโทโปลิสพังพินาศ แต่เอาเข้าจริงริต้า แค่ทำลายหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น (แค่เสี้ยวเดียวด้วย) โห้! โคตรน่ากลัว (บางคนแย้งบอกว่า ก็ริต้า เพิ่งฟื้นเลยมีพลังน้อยอยู่ก็อาจจะจริง)
เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงไม่ซับซ้อน (จนแอบน่าเบื่อ)
ถึงจะเป็นการยกเครื่องใหม่ แต่เนื้อเรื่องที่เล่าก็มีความเป็นเส้นตรงแบบตรงแด่วไม่มีแวะหักเลี้ยวซ้ายขวา เริ่มตั้งแต่นักรบ 5 คนเจอกันโดยบังเอิญ และได้พลัง แล้วบังเอิญตกน้ำไปเจอฐานลับโดยบังเอิญอีกจนเจอซอร์ดอน และอัลฟ่าไฟท์ ซอร์ดอนเล่าเหตุผลว่าทำไมต้องมีเรนเจอร์ แต่ก็แอบแฝงสิ่งที่ตัวเองหวังคือการกลับมามีชีวิตอีกครั้งหากนักรบทั้ง 5 ใข้พลังได้
ช่วงแรกนักรบทั้ง 5 คนก็ไม่สามัคคีกันทะเลาะกันจนทีมแตก ผิดใจกัน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ทั้ง 5 คนมาร่วมกัน และสามารถเรียกชุดเกราะออกมาได้ซึ่ง…ฉากนี้เป็นการเล่าแบบรวบรัด และโคตรเร็วระดับที่เร็วมากๆ แม้ตัวหนังจะพยายามบิวท์ให้เราอินไปกับการสูญเสีย ก่อนที่จะได้พลัง แต่ในความรู้สึกตรงนั้นคือไม่เลย บทพูดก็ดูประหลาดๆ ดูพยายามจะบิวท์ให้เรารู้สึกถึงพลังแห่งมิตรภาพ โอ้ส!
เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงไม่ซับซ้อน (จนแอบน่าเบื่อ)
ถึงจะเป็นการยกเครื่องใหม่ แต่เนื้อเรื่องที่เล่าก็มีความเป็นเส้นตรงแบบตรงแด่วไม่มีแวะหักเลี้ยวซ้ายขวา เริ่มตั้งแต่นักรบ 5 คนเจอกันโดยบังเอิญ และได้พลัง แล้วบังเอิญตกน้ำไปเจอฐานลับโดยบังเอิญอีกจนเจอซอร์ดอน และอัลฟ่าไฟท์ ซอร์ดอนเล่าเหตุผลว่าทำไมต้องมีเรนเจอร์ แต่ก็แอบแฝงสิ่งที่ตัวเองหวังคือการกลับมามีชีวิตอีกครั้งหากนักรบทั้ง 5 ใข้พลังได้
ช่วงแรกนักรบทั้ง 5 คนก็ไม่สามัคคีกันทะเลาะกันจนทีมแตก ผิดใจกัน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ทั้ง 5 คนมาร่วมกัน และสามารถเรียกชุดเกราะออกมาได้ซึ่ง…ฉากนี้เป็นการเล่าแบบรวบรัด และโคตรเร็วระดับที่เร็วมากๆ แม้ตัวหนังจะพยายามบิวท์ให้เราอินไปกับการสูญเสีย ก่อนที่จะได้พลัง แต่ในความรู้สึกตรงนั้นคือไม่เลย บทพูดก็ดูประหลาดๆ ดูพยายามจะบิวท์ให้เรารู้สึกถึงพลังแห่งมิตรภาพ โอ้ส!
ฉากบู๊ไม่หวือหวา แต่ก็ได้อารมณ์เหมือนดูหนังแปลงร่าง
หลังจากที่เรนเจอร์แปลงร่างได้แล้วก็ถึงเวลาบู๊ เราเห็นการต่อสู้ของเหล่าเรนเจอร์ไม่ค่อยเยอะมาก แทบนับฉากได้เลยว่าพวกเขาต่อสู้กับลิ่วล้อของริต้าแค่นิดเดียว แต่หลังจากนั้นก็ขี่หุ่นไล่ปราบศัตรูกันเสียมากกว่า ยอมรับตรงๆ เรารู้สึกว่ามันน้อยไปนิด ยังไม่ค่อยอิ่ม แต่ความที่ตัวหนังโฟกัสไปที่การต่อสู้ของไดโนซอร์ดกับโกลด์ดาร์ค มากกว่า เลยเติมเต็มความฟินได้บ้าง
แต่ฉากประกอบร่างซึ่งควรจะเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเรื่องกลับไม่สร้างความอลังการว้าวเวอร์และไร้ที่มา คือจู่ๆ ประกอบร่างได้ไง ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีที่มาว่าทำอย่างไรถึงจะประกอบร่างกันได้ ซอร์ดอน ยังไม่เคยบอกวิธีใช้หุ่นด้วยซ้ำ ที่สำคัญ หน้าตาหุ่นเมกาซอร์นั้น มีความคล้ายกับออฟติมัส ไพร์ม (หรือเราติดภาพนั้นเอง)
ที่สำคัญคือไทน์อินสินค้าคริสปี้ครีมกระจาย!! บางคนรำคาญแต่สำหรับเรามันตลกดี
เสน่ห์ที่ยังพอเหลืออยู่บ้าง
ถึงแม้เราจะไม่ชอบในความราบเรียบ และไม่รู้สึกได้ถึงการยกเครื่อง หรือตีความใหม่เท่าไหร่ แต่ที่ยังพอเห็นแล้วรู้สึกได้ว่านี่คือการแฝงกลิ่นอายในอดีตคือฉากต่อสู้กับลิ่วล้อ ในหนังเลือกใช้โลเกชั่นที่คล้ายกับในซีรีย์ทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่น และอเมริกา คือโลเกชั่นในเหมือง หรือภูเขา ซึ่งในซีรีย์จะนิยมตีกันในบริเวณนี้ก่อน แล้วค่อยไปตีกันในเมือง
ส่วนเพลงธีม Go Go Power Rangers นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ชมคาดหวังว่าจะได้ฟังมากที่สุด แต่กลับโผล่มาในจังหวะนิดเดียว และในช่วงเอ็นเครดิต เรามีความหวังว่าจะได้ฟังเพลงนี้ในโรงภาพยนตร์ก็กลับพบว่ามัน…ไม่มี ผิดหวังเบอร์ใหญ่มาก มันควรจะเป็นเพลงธีมหลักด้วยซับแต่กลับไม่ใช้
เสน่ห์ที่ยังพอเหลืออยู่บ้าง
ถึงแม้เราจะไม่ชอบในความราบเรียบ และไม่รู้สึกได้ถึงการยกเครื่อง หรือตีความใหม่เท่าไหร่ แต่ที่ยังพอเห็นแล้วรู้สึกได้ว่านี่คือการแฝงกลิ่นอายในอดีตคือฉากต่อสู้กับลิ่วล้อ ในหนังเลือกใช้โลเกชั่นที่คล้ายกับในซีรีย์ทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่น และอเมริกา คือโลเกชั่นในเหมือง หรือภูเขา ซึ่งในซีรีย์จะนิยมตีกันในบริเวณนี้ก่อน แล้วค่อยไปตีกันในเมือง
ส่วนเพลงธีม Go Go Power Rangers นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ชมคาดหวังว่าจะได้ฟังมากที่สุด แต่กลับโผล่มาในจังหวะนิดเดียว และในช่วงเอ็นเครดิต เรามีความหวังว่าจะได้ฟังเพลงนี้ในโรงภาพยนตร์ก็กลับพบว่ามัน…ไม่มี ผิดหวังเบอร์ใหญ่มาก มันควรจะเป็นเพลงธีมหลักด้วยซับแต่กลับไม่ใช้
สรุปถึงจะแย่ แต่อยากให้ไปดู
แม้เราจะไม่ได้รู้สึกถึงความประทับใจ และไม่ได้รู้สึกว่าวัยเด็กที่มีวิ่งพลุ่งพล่านตามจังหวะ it’s Morphin time อีกครั้ง แต่ก็ชื่นชมในคามกล้าที่จะพยายามปั้นให้พาวเวอร์เรนเจอร์ มาขึ้น boxoffice เทียบชั้นหนังฮีโร่เรื่องอื่น และเราหวังว่าภาคที่ 2 น่าจะดีขึ้น
ส่วนตัวแล้วชื่นชมคนที่กล้านำฮีโร่ไปแจ้งเกิดบนแผ่นฟิล์ม เพราะนี่คือหนึ่งในความทรงจำชั้นดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของวัยรุ่นยุค 90s ที่เติบโตมากับวัฒนธรรมขบวนการเซ็นไต อย่างไรเราจะรอภาค 2 นะ