ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

ดูหนัง It's Only the End of the World (2016) เรื่องรักโลกแตก เต็มเรื่อง

ดูหนัง It's Only the End of the World (2016) เรื่องรักโลกแตก เต็มเรื่อง - เว็บดูหนังดีดี ดูหนังออนไลน์ 2020 หนังใหม่ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังดราม่า

เรื่องย่อ : ดูหนัง It's Only the End of the World (2016) เรื่องรักโลกแตก เต็มเรื่อง

ดูหนัง It's Only the End of the World (2016) เรื่องรักโลกแตก เต็มเรื่อง

 

It’s Only the End of the World ดัดแปลงมาจากบทละครของ “ฌอง-ลุก ลาการ์ซ” เล่าเรื่องของ หลุยซ์ (กัสปาร์ อุลลิเยล) นักเขียนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาตัดสินใจกลับมาพบกับครอบครัวอีกครั้งหลังจากขาดการติดต่อไปหลายปี

ครอบครัวของหลุยซ์ประกอบไปด้วย พี่ชายอารมณ์ร้อน (แวงซองต์ กัสเซล), พี่สะใภ้อารมณ์ดี (มาริยง โกติยาร์), พี่สาวชอบพี้ยา (เลอา เซย์ดูซ์) และแม่ผู้แต่งตัวจัด (นาตาลี บาย)

ทุกคนต่างประหลาดใจที่หลุยซ์กลับมาที่บ้าน เนื่องจากก่อนหน้านี้ หลุยซ์ตัดขาดความสัมพันธ์กับทุกคนเพราะมีเรื่องบาดหมางจนต่อกันไม่ติด หลุยซ์กลับมาเพราะต้องการจะแจ้งข่าวกับทุกคนว่า เขาป่วยด้วยโรค HIV และกำลังจะตายในระยะเวลาอันใกล้ หลุยซ์หวังว่าก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เขาจะสามารถกลับมาสมานรอยร้าวที่เกิดขึ้นกับคนที่เขารักได้ แต่หลุยซ์อาจคิดผิด…

IMDB : tt4645368

คะแนน : 6.9

รับชม : 600 ครั้ง

เล่น : 121 ครั้ง



It's Only the End of the World (2016) เรื่องรักโลกแตก

หรือจะถามอีกแบบว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราต้องสนใจหนังเรื่องนี้? ก็คงไม่แปลกนัก เชื่อว่าดูหน้าหนังผ่าน ๆ ครั้งแรก คงตอบว่าเพราะโปสเตอร์ดูสวยดี หรือเพราะชื่อมันเจ๋งโคตรทั้งชื่ออังกฤษ It’s Only the End of the World ทั้งชื่อไทย เรื่องรักโลกแตก หรือเพราะชื่อดาราดังที่ผลงานช่วงนี้เฟื่องฟูอย่าง มาริยง โกติญาร์ ที่ดึงดูดตาเสียเหลือเกินสำหรับฝั่งหนุ่ม ๆ หรือเพราะใบหน้าหล่อ ๆ ของพ่อหนุ่ม กัสปาร์ อุลิเอล ก็ดูสมเหตุสมผลดีสำหรับฝั่งสาว ๆ แต่เท่านี้คงไม่พอที่จะให้เราเข้าไปเสียตังค์ในโรงหนังหรอกมั้ง?

โปสเตอร์หนังที่ดูปั๊บรู้ปุ๊บเลยว่า หนังปีนกระไดชมแหง ๆ

งั้นมาดูเหตุผลเชิงคุณภาพอย่างที่ว่า หนังเรื่องนี้คือหนังที่ไปกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ที่สำคัญ ๆ เลยก็อย่างรางวัลกรังด์ปรีซ์ หรือรางวัลรองชนะเลิศจากสายประกวดหลักปาล์มทองคำอันแสนโหดหินของเทศกาลหนังดูโคตรยากอย่างเมืองคานส์มาเมื่อปีก่อน ในขณะที่หนังรางวัลจูรีไพรส์ขวัญใจกรรมการอย่าง American Honey เพิ่งได้มาเหยียบเมืองไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ถึงคราวหนังเรื่องนี้ก็ได้มาลงโรงให้แฟนหนังศิลป์สูงส่งได้ชมกันบ้าง นับ ๆ ไปอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะครบ 1 ปีที่หนังไปคว้ารางวัลมา แต่มาช้าดีกว่าไม่มาแน่นอนครับ ดังนั้นใครชื่นชมหนังรางวัลเป็นพิเศษนี่คือโอกาสอันพลาดไม่ได้เลยที่จะได้รับชมในโรงภาพยนตร์เมืองไทย

พ่อหนุ่ม ซาวิเยร์ โดลอง กับรางวัลกรังด์ปรีซ์

หรืออีกเหตุผลที่น่าสนใจที่น่าจะผลักดันให้ไปดูได้คือ มันคืองานของผู้กำกับแคนาเดียนยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อย่าง ซาวิเยร์ โดลอง ชื่อนี้ล่ะประกันความน่าดูแบบสุด ๆ เอาเกียรติประวัติแบบรวบรัดคือ เขาสามารถคว้า 3 รางวัลจากสายประกวด Director’s Fortnight ของคานส์ได้จากการทำหนังเรื่องแรกอย่าง I Killed My Mother (2009) ที่ได้ฉายเปิดเทศกาลด้วย ตั้งแต่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น!!!!

หนังเรื่องแรกก็เปรี้ยงเลย ทั้งสไตล์ที่ร่วมสมัย ฮิปสเตอร์บูชา และบทสนทนาแบบหว่องกาไว

หลังจากนั้นพี่แกก็ทำหนังอะไรก็ได้รางวัลมาตลอด ทั้ง Heartbeats (2010), Laurence Anyways (2012), Tom at the Farm (2013) หรือจะเป็น Mommy (2014) ที่ได้รับรางวัลจูรีไพรส์จากสายประกวดหลักเมืองคานส์มาแล้วเช่นกัน เอาเป็นว่าตอนนี้พี่แกคว้าไปแล้วถึง 60 รางวัลระดับชาติและระดับนานาชาติจากการถูกเสนอชื่อ 147 รางวัล!!!! ใครเคยดูเอ็มวีเพลง Hello ของ Adele ที่ตอนนี้ยอดวิวทะลุไป 1.9 พันล้านครั้งแล้ว ก็มาจากฝีมือพ่อหนุ่มคนนี้นี่ล่ะ

 

 

 

และถ้าใครคิดว่าหนังพี่แกจะดูยาก ลึกซึ้งคร่ำครึแบบปราชญ์โบราณ คิดผิดได้เลย เพราะเด็กหนุ่มที่มีแรงบันดาลใจเริ่มต้นการทำหนังจากหนังอย่าง Titanic (1997) และกล้าเลือกใช้เพลงอย่าง Wonderwall ของ Oasis, เพลง I Miss You ของ Blink 182 หรือเพลงแนว EDM ในหนังตัวเองอย่างได้อย่างมีรสนิยม ไม่ต้องไปพึ่งสกอร์ออร์เคสตราอลังการแต่ดันทรงพลังเหลือเกินอย่างโดลอง ทำหนังได้อย่างโคตรทันสมัย เทคนิคภาพหวือหวาทั้งฟาสต์ฟอร์เวิร์ดหรือสโลว์โมชั่น ตลอดจนองค์ประกอบศิลป์ที่ทั้งสวยและชวนสงสัย การตัดต่อที่ทั้งฉลาดและร่ำรวยในอารมณ์ นี่บรรยายได้ไม่หมดจริง ๆ สรุปคือดูสวยมีรสนิยม มีของและไม่น่าเบื่อเลย

 

 

 

แต่ก่อนจะเป็นบทความอวยโดลองเกินไป เรามาดูสิ่งที่ทำให้ผม ผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักโดลองเช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ คน รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าดูมาก ๆ กัน เพราะหากไม่สนคำเยินยอแต่เก่าก่อน หนังเรื่องนี้ดูสนุกแบบประหลาดสำหรับสายดราม่าเลยล่ะครับ

มันก็แค่ครอบครัวทานอาหารพร้อมหน้า ไม่ใช่จุดจบของโลกเสียหน่อย

ประโยคด้านบนจากตัวอย่างหนัง ถ่ายทอดสิ่งที่เกิดในหนังเรื่องนี้อย่างหมดเปลือกเลย หนังเล่าเรื่องของ หลุยส์ (กัสปาร์  อุลิเอล) นักเขียนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแต่ดันพบว่าตนเองอาจมีชีวิตได้อีกไม่นาน เขาจึงตั้งใจกลับบ้านมาพบครอบครัวที่เขาหนีหน้ามาตลอด 12 ปีเพื่อเยียวยาช่องว่างที่เกิดขึ้นก่อนตาย ที่นั่นเขาพบแม่ (นาตาลี บาย) ผู้มักพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาทั้งพยายามมีอิทธิพลกับลูกทุกคน อองตวน (แวงซองต์ กัสเซล) พี่ชายผู้อารมณ์ร้อนและรู้สึกว่าไม่มีใครรัก แคทเธอรีน (มาริยง โกติญาร์) พี่สะใภ้ผู้แสนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแต่ก็พูดไม่เก่ง ซูซาน (เลอา เซย์ดูซ์) น้องสาวผู้เติบโตมาโดยไม่รู้จักหลุยส์เลย ด้วยช่องว่างของความรู้สึกในครอบครัวกว่า 12 ปี มันทำให้ฉากการพบกัน พุดคุยเรื่องทั่วไป หรือฉากการทานข้าวธรรมดา ๆ ก็กลายเป็นหนังธริลเลอร์สุดระทึกขึ้นมาได้อย่างที่ว่าโลกจะแตกเลยทีเดียว

หนังดัดแปลงจากบทละครเวที ทำให้เราเห็นส่วนต่าง ๆ เหมือนฉากบนเวทีทีเดียว เริ่มตั้งแต่ฉากแรกตัวละครกลับมาเจอหน้ากัน ตัวเอกมีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับแต่ละตัวละคร ซึ่งบทสนทนาที่เกิดขึ้นทำให้เข้าใจเบื้องหลังที่ตัวละครแต่ละตัวไม่แสดงออกมาเมื่อยามอยู่พร้อมหน้า จนไปถึงบทสรุปฉากพร้อมหน้าในตอนท้าย ที่เราทั้งลุ้นจากการสานสัมพันธ์ ทั้งลุ้นว่าตัวเอกจะได้บอกเรื่องโรคของตนเองเมื่อไร (ในหนังไม่ได้พูดตรง ๆ นักว่าพระเอกเป็นอะไร) และลุ้นว่าหนังจะจบลงอย่างไร เหล่านี้เรียกว่าพลาดไม่ได้สักฉาก เพราะบทสนทนานั้นแม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่จับใจความไม่ได้ เพราะต่างคนต่างอ้ำอึ้งอ้อมค้อม อาจด้วยความห่างจนกลายเป็นคนแปลกหน้า อาจด้วยกลัวความสัมพันธ์ที่เพิ่งกลับมาสานตัวจะพังทลาย แต่ในระหว่างบรรทัดถ้าดูให้ดีทั้งน้ำเสียง ถ้อยคำที่ใช้ หรือสายตา มันเล่าเบื้องลึกได้อย่างโคตรน่าสนใจ โคตรสนุกกับการตีความ อินไปกับบรรยากาศนั้น ๆ ตลอดจนรู้สึกบาดเจ็บไปกับตัวเอกมาก ๆ ดูจบก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครน่าสงสารสุดในเรื่อง แต่ที่แน่ ๆ คือรู้ว่าสถาบันครอบครัวนี่โคตรของโคตรสำคัญเลยจริง ๆ

ด้วยความยาวเพียง 97 นาที หนังไม่ทำให้เราเบื่อหรือยืดเยื้อเกินไปเลย ทั้งสไตล์การเล่าหลากสีสัน อัดระดมภาพตัวละครครึ่งตัวที่น่าอึดอัด ผสมกับการถ่ายโคลสอัพสายตา และการตัดต่อที่ไม่ค่อยเจอในหนังดราม่า เมื่อรวมกับสถานการณ์ที่แสนจะใกล้ตัวผู้ชมอย่างบ้านธรรมดา ๆ ครอบครัวธรรมดา ๆ แต่กลับมีความขัดแย้งลึก ๆ ในระดับโลกแตก ไม่แปลกใจเลยที่หนังจะได้รับรางวัลการันตีมากขนาดนี้