หมวดหมู่ :
หนังดราม่า
เรื่องย่อ : ดูหนัง Race ต้องกล้าวิ่ง เต็มเรื่อง
ดูหนัง Race ต้องกล้าวิ่ง เต็มเรื่อง
หนุ่มน้อยคนหนึ่งชื่อว่า เจสซี่ โอเว่นส์ เป็นเด็กผิวสีชาวอเมริกัน อยู่ตามชานเมืองของอเมริกา รับจ้างเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปในย่านนั้น แต่ว่าเขานั้นมีพรสวรรค์อยู่อย่างหนึ่ง วิ่งได้เร็ว เร็วกว่าเด็กปกติทั่วไป จนได้เป็นนักกีฬาโรงเรียน ไต่เต้าไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับมหาลัย ชีวิตก็ไม่มีอะไรผิดแปลกอะไรแต่แล้วความที่เขาเป็นผิวสี เรื่องการเหยียดสีผิวก็เกิดขึ้นเรื่อยมา แต่เขาก็อดทนเรื่อยมา จนกระทั่ง ปี 1936 กีฬาโอลิมปิกได้จัดขึ้นที่กรุงเบอร์ลิน เมืองที่มีการเหยียดผิวเข้าขั้นรุนแรงมาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นผู้นำของเยอรมันในขณะนั้นพอดี ซึ่ง ต่อต้านการเหยียดผิวอย่างสุดโต่ง ในขณะที่ เจสซี่ โอเว่นส์ได้เป็นตัวแทนของอเมริกาเข้าแข่งขันในครั้งนี้ด้วย เขาจะฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ไปได้อย่างไรและพรสวรรค์ที่เขาได้มานั่นจะช่วยเขาให้เขาประสบความสำเร็จในการวิ่งที่เต็มไปด้วยการเหยียดผิวหรือไม่ หรือเขาจะยอมแพ้ต่อชนชาติอารยันของฮิตเลอร์
IMDB : tt3499096
คะแนน : 7.1
รับชม : 2255 ครั้ง
เล่น : 787 ครั้ง
ป้ายกำกับ :
หนังออนไลน์
,
ดูหนังออนไลน์
,
ดูหนังออนไลน์ฟรี
,
ดูหนังออนไลน์ฟรีเต็มเรื่อง
Race ต้องกล้าวิ่ง
1. การเมือง vs กีฬา
สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่เคลียร์ตั้งแต่แรก คือ นักวิ่งจะเกี่ยวอะไรกับการเอาชนะฮิตเลอร์? ตามอุดมคติแล้ว การเมืองและกีฬาเป็น 2 สิ่งที่ควรอยู่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง แต่แน่นอนว่าชีวิตจริงวุ่นวายกว่านั้น เพราะในปี 1936 ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเยอรมันตั้งใจใช้การแข่งขันโอลิมปิกส์ฤดูร้อนปี 1936 ณ กรุงเบอร์ลิน เป็นเครื่องมือในการแสดงอำนาจและแสดงความเหนือกว่าของชนเผ่าอารยัน (ฝรั่งผิวขาวเชื้อชาติเยอรมัน) แต่กลายเป็นว่าเจสซี่ โอเวนส์ (รับบทโดย Stephen James) นักกรีฑาชาวแอฟริกัน-อเมริกันสามารถไปคว้า 4 เหรียญทองและแสดงให้ผู้นำหนวดจิ๋มได้รู้ว่าเขาคิดผิด!
2. พรสวรรค์ vs พรแสวง
เหมือนภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับนักกีฬาหลายๆ เรื่อง เราได้เห็นเทคนิคการซ้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของสไนเดอร์ที่ช่วยให้ความสามารถของเจสซี่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่ง เพราะพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวคงไม่ช่วยให้เขาคว้าชัยชนะ 4 เหรียญทองนั้นมาได้หรอก แน่นอนว่าต้องมีพรแสวงด้วย และคนที่เป็นดั่งลมใต้ปีกของเขาก็คือโค้ชแลร์รี่ สไนเดอร์ (รับบทโดย Jason Sudeikis) แต่น่าเสียดายที่เนื้อเรื่องตรงนี้ออกจะราบเรียบ ไม่ว่าเจสซี่จะทำอะไร ก็ทำได้ดีไปหมด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดและอาจจะตรงกับเรื่องจริงก็ได้ แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันทำให้หนังเป็นที่น่าจดจำน้อยลงในฐานะหนังกีฬา และอีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายคือหนังไม่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ของเจสซี่และโค้ชเท่าไหร่นัก แม้จะมีฉากปรึกษาหารือปัญหาชีวิตบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้มข้นถึงจุดพีคอะไรขนาดนั้น
3. ความคาดหวังส่วนรวม vs ความคาดหวังส่วนตัว
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เราคิดว่าน่าสนใจมาก เมื่อการแข่งขันโอลิมปิกส์ใกล้เข้ามา ชุมชนคนผิวดำเรียกร้องให้เจสซี่ปฏิเสธการเข้าร่วมเพื่อแสดงจุดยืนในฐานะชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ชนชาติที่ฮิตเลอร์บอกว่าต่ำต้อยยิ่งกว่ามนุษย์ เจสซี่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการยืนหยัดร่วมกับชุมชนคนผิวดำกับความใฝ่ฝันของตัวเอง เราว่าตรงจุดนี้หนังทำได้ไม่ดีนัก แทนที่จะค่อยๆ บิวท์ให้เราเห็นความสับสนของเจสซี่ หนังกลับรีบเล่าจนเสียจังหวะ ตัดฉับไปฉับมา 2-3 ฉากเจสซี่ก็กลับมามุ่งมั่นว่าจะไปแข่งให้ได้ ฉากที่โค้ชสไนเดอร์จะไปเกลี้ยกล่อมให้ไปก็สั้นจนไม่แน่ใจว่าโค้ชมีส่วนในการตัดสินใจของเจสซี่จริงๆ หรือเปล่า (ขนาดรีบแล้วยังยาว 2 ชั่วโมงกว่าแหนะ)
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อไปถึงเบอร์ลิน หนังคืนฟอร์มกลับมาเล่าเรื่องได้ดีขึ้น เราชอบฉากที่เจสซี่เดินออกมาจากใต้สนามกีฬา กล้องแพนให้เห็นฝูงชนจำนวนมากที่รายล้อม (แม้จะดูเป็นซีจี้ซีจีแบบไม่พยายามทำให้เนียนกว่านี้ แต่ก็หยวนๆ แหละ) เราเห็นความรู้สึกตื่นเต้น เครียด กังวลของเจสซี่ฉายชัดออกมาผ่านการแสดงของ Stephen James แม้เจสซี่จะตัดสินใจเลือกทำตามความฝันของตัวเอง แต่เขาก็แบกความคาดหวังของส่วนรวมมาด้วยในแง่ที่ว่าเขาต้องเอาชนะนักกีฬาเยอรมันให้ได้ ต้องคว้าเหรียญทองไปตอกหน้าฮิตเลอร์ให้ได้ว่าคนผิวดำที่พรรคนาซีเกลียดนักหนา จริงๆ แล้วเก่งกาจแค่ไหน และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจสซี่ทำได้สำเร็จ แถมสร้างสถิติใหม่ของโลกได้อีกต่างหาก!
4. การเหยียดผิวของอเมริกา vs การเหยียดเชื้อชาติของพรรคนาซี
มีฉากหนึ่งที่เจสซี่พูดคุยกับลูซ ลอง นักกีฬาดาวรุ่งชาวเยอรมันที่เจสซี่เพิ่งเอาชนะจากการแข่งขันกระโดดไกล ลูซระบายความอัดอั้นที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคนาซีที่เหยียดชาวยิวราวกับเป็นผักปลา เขาบอกเจสซี่ว่า ดีแล้วที่นายอยู่อเมริกา เจสซี่มองหน้าเพื่อนใหม่แล้วบอกว่า ฉันไม่แน่ใจว่าอเมริกากับเยอรมนีแตกต่างกันจริงหรือเปล่า
ตลอดทั้งเรื่อง เราได้เห็นความจริงว่าเจสซี่และเพื่อนผิวดำถูกเหยียดและถูกเลือกปฏิบัติ ขึ้นรถประจำทางยังต้องนั่งด้านหลังที่เป็นโซนของคนผิวสีโดยเฉพาะ ตอนที่เจสซี่ลงแข่งวิ่งครั้งแรก ก็มีผู้หญิงผิวขาวตะโกนเรียกเขาว่า “นิโกร” แม้กระทั่งตอนที่เจสซี่เดินทางกลับอเมริกาในฐานะนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกส์ไปแล้ว เขายังต้องเข้าโรงแรมด้วยประตูคนงานเพื่อไปงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองความสำเร็จให้กับเขาแท้ๆ เราชอบที่หนังไม่เลียก้นอเมริกา และได้เห็นความ “มือถือสาก ปากถือศีล” ของลุงแซมอย่างชัดเจน ไปวิจารณ์พรรคนาซีว่าทำอย่างนั้นกับชาวยิวไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เหยียดคนผิวดำไม่ต่างกัน!
5. เรื่องจริง vs เรื่องแต่ง
แม้หนังจะจั่วหัวว่าสร้างจากเรื่องจริง แต่อย่าลืมว่าแค่มีการเขียนบทก็เท่ากับมีการปรุงแต่งเรื่องแล้ว เราได้เห็นเฉพาะชีวิตด้านที่รุ่งโรจน์ของเจสซี่ แต่รู้ไหมว่าหลังจากโอลิมปิกส์ปี 1936 ชีวิตนักกีฬาของเจสซี่ดิ่งลงเหว รวมทั้งชีวิตด้านอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน (ถ้าสนใจไปลองเสิร์ชอ่านดูได้) แต่ประเด็นเจสซี่ยังพอเข้าใจได้ ว่าหนังคงต้องการยกย่องและจดจำเขาในฐานะนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เราว่าจุดที่หนังทำพลาดที่สุดคือการเลือกนำเสนอ Leni Riefenstahl ผู้กำกับสาวผู้บันทึกภาพการแข่งขันโอลิมปิกส์ครั้งนั้นเป็นหนังสารคดีชื่อ Olympia ในด้านดีเพียงอย่างเดียว เพราะถึงแม้หนังของเธอจะสวยงาม แต่ความจริงแล้วก็เป็น propaganda ของพรรคนาซีดีๆ นี่เอง
โดยรวมแล้วเราว่าหนังดีเพราะประเด็นหลักดี แต่การเลือกหยิบจับประเด็นรองอื่นๆ มาพูดถึงอาจจะยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง บางเรื่องก็พูดถึงไม่ครบด้าน บางเรื่องก็เล่ามากไป บางเรื่องก็เล่าน้อยไป แต่หนังก็ยังมีความดูสนุกอยู่ ถึงแม้เราจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงเจสซี่ก็ชนะ แต่เราก็ร่วมลุ้นทุกครั้งที่เจสซี่ออกวิ่ง (ต้องให้เครดิตเสียงเพลงประกอบสุดเร้าใจ) ดังนั้น Race จึงเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ดูได้แบบไม่เสียดายเงินเสียดายเวลาแต่อย่างใด