ตอนที่ 3 ของหนังชุดนี้ จบลงด้วยการทำเป็น 3 มิติ… อืมม์ …ก็ตอบสนองตัณหาพี่ Robert Rodriguez กันเข้าไปล่ะครับ
ภาคนี้ เปิดเรื่องมา จูนิ คอร์เตซ (Daryl Sabara) ลูกชายคนเล็กของตระกูลคอร์เตซ ได้ตัดสินใจออกมาทำงานเป็นสายสืบเอกชนครับ เพราะเกิดมีปัญหาไม่เข้าใจกับทางบ้านและองค์กรสายลับ (อันนี้โคตรล้อหนังแนวตำรวจของผู้ใหญ่เลยครับ ส่วนมากมันมักจะเปิดเรื่องแบบเนี้ย ตัวเอกต้องมีปัญหากับอะไรสักอย่าง จนต้องออกมาทำงานเองเนี่ย)
แต่แล้วเขาก็ได้รับการติดต่อให้เข้าไปช่วยคาร์เมน (Alexa Vega) พี่สาวของเขาในโลกแห่งวีดีโอเกมที่สร้างขึ้นโดยจอมวายร้าย ทอยเมคเกอร์ (โอ้! พระเจ้า พี่ Sylvester Stallone ของผมกลับมาแล้ว) ที่ต้องการจะทำให้เด็กทั้งโกลติดเกมจนไม่เป็นอันทำอะไร โอ้ ไม่ได้แล้วครับแบบนี้ จูนิเลยต้องกลับมารับงานสายลับจิ๋วอีกครั้ง ทำให้การผจญภัยแบบ 3 มิติเริ่มต้นขึ้น!!
เอาล่ะขอพูดตามตรงเลยนะครับผม … หนังอ่อนครับ อ่อนเหลือเกิน หนังมามีดีตรง Effect ที่มันก็ต้องดีอยู่แล้วล่ะครับ ยุคนี้พ.ศ.นี้แล้วนี่หน่า บอกตรงๆ ว่าน่าเสียดายเหมือนกัน เพราะนี่เป็นหนังปิดไตรภาค คือถ้าทำออกมาประทับใจเน้นเนื้อหา มันย่อมตราตรึงอยู่ในใจผู้คน (แบบที่ Austin Powers ทำครับ แม้ภาค 3 จะไม่ซึ้งมาก แต่ก็จบได้ประทับใจกว่าที่คาดคิด) แต่นี่ดันไปทำ 3 มิติ เอ้า ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของพี่ Robert แกนะครับ แกทำไปแล้วนี่หน่า
การทำแบบนี้มันได้อย่างเสียอย่างครับ คือ ถ้าเลือกทำ 3 มิติแล้ว จะมาทำหนังให้บทเข้มข้นซับซ้อนก็ไม่ได้เลย เพราะว่า หนัง 3 มิติต้องใช้ตาอย่างมากครับ แล้วทีนี้ถ้าหนังซับซ้อน ไหนจะต้องเพ่งไหนจะต้องคิด อันตรายนะครับ ทำเป็นเล่นไป เพราะลองคิดดูครับ ตากับสมองมันใกล้กันมากครับ ถ้าใช้งานหนักๆ พร้อมกัน มันย่อมไม่ดีต่อสุขภาพเป็นแน่ ดังนั้นถ้าทำเป็น 3 มิติ เนื้อหาก็ต้องไม่ซับซ้อนน่ะครับ ไม่งั้นคนดูอาจจะมึนออกมาได้
ครับ แม้ผมจะเสียดายอยู่บ้างในงานด้านเนื้อหา แต่อย่างน้อยก็ได้งานด้านภาพมาชดเชยน่ะครับ และดาราก็ยังเล่นได้ดี ภาคนี้จูนิ (Sabara) จะได้รับบทนำที่เด่นกว่า ซึ่งหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมบท คาเมน (Vega) ถึงน้อยมากจนแทบจะไม่โผล่เลย ซึ่งมันมีที่มาครับ เพราะว่าหนังเรื่องนี้มีคอนเซปต์ว่า Spy Kids ครับ ดังนั้นตัวเอกก็ต้องเป็นสายลับเด็กๆ เท่านั้น และพอดีบทคาเมนนั้นอายุอานามมันเลยวัยออกไปแล้วน่ะครับ เป็น Spy Teens ไปแล้ว ความเด่นเลยมาตกเป็นของ จูนิแทน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หนังชุด Spy Kids ต้องจบลงในภาคนี้ด้วย เพราะดารานำในเรื่องมันเลยวัยไปหมดแล้วน่ะครับ (ผมก็นั่งคิดเล่นๆ ไม่ทำ Spy Teens ออกมาซะเลยล่ะเนี่ย)
ว่ากันโดยรวมๆ ดาราก็แสดงกันได้ดีครับ แต่บทอาจจะอ่อนมากไปหน่อย มันจะไปเน้นเทคนิค 3 มิติเสียมากจนอดน่าเสียดายไม่ได้ ภาคนี้เลยเหมาะสำหรับเด็กแบบเต็มๆ น่ะครับ ผู้ใหญ่ดูอาจจะเฉยๆ นะครับ ก็ต้องเผื่อใจไว้หน่อยล่ะฮะ
และอาจจะเพราะหนังมันพร่องเนื้อหา ก็เลยมีความพยายามจะเพิ่มลูกเล่น อย่าง ดารารับเชิญเงี้ยครับใส่ลงมา พี่ Sylvester Stallone ก็ถือเป็นตัวฮาได้พอตัวนะครับ แม้จะไม่ถึงกับขโมยซีน แต่พี่แกก็เล่นได้บ้าดี (โดยเฉพาะตัวพี่แกในร่างต่างๆ น่ะ) แล้วยังมีบทรับเชิญที่คาดไม่ถึงอีก เป็นใครก็ลองไปดูครับ แต่ไอ้คนที่เป็น The Guy (คนในคำทำนายที่ว่ากันว่าจะสามารถพิชิตเกมนี้ได้) นั่น ออกมาฉากเดียว แต่ก็ฮาแบบใช้ได้ล่ะครับ
สรุปว่าปิดไตรภาคได้ไม่สมใจเท่าไหร่ แต่สำหรับพี่ Robert ผมเชื่อว่าเขาสมหวังแล้วครับ และการที่ผมได้ดูไอ้หนังไตรภาคทั้ง 2 เรื่องของเขา (ชุดนี้ กับชุด El Mariachi) นี่ก็ทำให้ผมรู้จักด้านต่างๆ ของพี่เขาเยอะเลย