ลองว่าคนทำหนังแอ็กชันมันส์ๆ ลีลาเด็ดๆ อย่าง Kurt Wimmer (จาก Equilibrium) ประกาศว่าจะเอากระบวนท่าบู๊สไตล์ Gun kata ที่เขาคิดขึ้นมาสานต่อในหนังเรื่องนี้ ความอยากดูของผมก็เพิ่มขึ้นหลายจุด
กระบวนท่า Gun kata ที่ว่าคือ การบู๊แบบยิงปืนแต่มีลีลาเหมือนออกหมัด ดังนั้นดีกรีความเท่ห์และพุ่งเพิ่มทวีคูณ จากการยิงกันธรรมดาก็เลยมีความพริ้วลงไปด้วย
พอได้ดูก็โอเคกับลีลาบู๊ที่ตื่นตา มีการเล่นมุมกล้องเสริมอะไรใหม่ๆ ลงไปพอสมควรครับ แต่พอดูจบกลับรู้สึกไม่ประทับใจ ไม่ติดตาดังคาดหมาย ใจลึกๆ ก็บอกอยู่จี๊ดๆ ว่า Equilibrium น่าจดจำกว่ากันเยอะ
และที่ชวนฉงนยิ่งกว่านั้นคือ ตอนแรกเท่าที่ติดตามข่าวมา Wimmer ให้สัมภาษณ์ว่าทำหนังเรื่องนี้ออกมาโดยเอาเรื่องราว Gloria งานดราม่าเก่าของผู้กำกับ John Cassavetes มาบอกเล่าในแนวแอ็กชัน ซึ่งเรื่อง Gloria ก็เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจหาญกล้ายืนหยัดท้าอำนาจเหล่ามาเฟีย เพื่อปกป้องเด็กคนหนึ่ง ดังนั้นโดยโครงหลักๆ Ultraviolet ก็จะเดินตามรอยนั้น นั่นคือการมีผู้หญิงเก่งๆ สักคนมาต่อต้านทรชนคนชั่วโดยใช้ปืนเป็นเครื่องเจรจา
ทว่าในหนังเหมือนจะเหลือแต่แอ็กชัน ส่วนของดราม่าดันไม่เจอปรากฏในหนังแม้แต่น้อย
ผมก็คิดในใจว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นหลังถ่ายทำเสร็จแน่นอน เพราะเชื่อว่า Wimmer ที่ลงมือเขียนบทเองก็น่าจะใส่รายละเอียดเชิงดราม่าลงไปไม่น้อย เหมือนสมัยทำ Equilibrium ที่เขาก็เขียนเองกำกับเองเช่นกัน และหนังก็กลมกล่อมพอประมาณมีแอ็กชันผสมกับเรื่องแนวคิดความเป็น “ปัจเจกบุคคล” ในอัตราส่วนที่สมดุลย์ใช้ได้
แล้ว Ultraviolet ไหงมีแต่แอ็กชัน หรือจะโดนนายทุนตัดฉากดราม่าออกไปกันหนอ…
งานนี้ผมดันเดาถูกซะอีก เพราะ Wimmer ก็ออกมาบ่นว่าหนังยาว 120 นาทีของเขาโดนนายทุนสั่งตัดเหลือแค่ 88 นาที เอาส่วนที่เป็นดราม่าแฝงปรัชญาแง่คิดออกไปเรียบวุธ ได้ข่าวว่า Wimmer โกรธจัดถึงขั้นเข็ดการทำงานกับสตูดิโอใหญ่ๆ ไปเลย
โดยโครงหลักๆ มันก็คล้าย Gloria อย่างเขาว่า Milla Jovovich นางเอกสาวสวยแบบหน้าตาเป็นเอกลักษณ์มารับบท ไวโอเล็ต (ซึ่ง Wimmer บอกไว้ว่าเขาเขียนบทนี้มาเพื่อเธอโดยเฉพาะ) สาวสวยที่ติดเชื้อไวรัสทำให้มีพลังความสามารถพิเศษและมีทักษะการต่อสู้ขั้นเทพ เธอก็เลยใช้พลังนั่นในการต่อต้านพวกองค์กระหรือบริษัทตัวร้ายที่ขยันผลิตไวรัสออกมาทำลายความสงบสุข และพอดีที่เธอได้เจอกับเด็กชายคนหนึ่งที่ในตัวมีแอนติเจนหรือสารต่อต้านที่สามารถคร่าเจ้าไวรัสนี้ได้ เธอเลยทำหน้าที่ปกป้องเขาให้พ้นจากเงื้อมมือผู้ร้าย และหาทางผลิตยาต้านไวรัสออกมาเพื่อช่วยคนอื่นๆ
ก็อย่างว่าล่ะครับ โครงหลักน่ะใช่ แต่เนื้อในเน้นแต่บู๊ล้วนๆ จนหนังเหมือนจะห้วนไปหน่อย
จริงๆ ถ้าจะดูเอามันส์แบบไม่คิดอะไรมากล่ะก็ไม่มีปัญหาครับ ถ้าคุณเป็นคอหนังบู๊ล้วนๆ หนังเรื่องนี้น่าจะตอบสนองความต้องการด้านความมันส์ได้บ้าง แต่หากคุณชอบหนังที่มีส่วนผสมลงตัวหน่อย เช่น มีดราม่าผสมนิดๆ เพื่อให้เรารู้สึกผูกพันกับเรื่องราวและตัวละคร เรื่องนี้ก็อาจสร้างความผิดหวังไม่ใช่น้อย
ดังนั้นถ้าทำใจซะว่าดูหนังโชว์ฉากบู๊ เหมือนดูการแสดงสตั้นท์โชว์ก็พอกล้อมแกล้ม แต่ถ้าอยากได้อะไรเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่านี้ก็ขอหบอกว่าอย่าดีกว่าครับ อย่าคาดหวังแล้วคุณอาจจะสนุกกับหนังก็ได้
น่าเสียดายเหมือนกันเพราะลีลาบู๊ในเรื่องก็ไม่เลว ยิ่งการแสดงบทนี้ของ Jovovich ก็ถือว่าเหมาะอย่างยิ่ง เพราะหน่วยการท่าทางองอาจทะมัดทะแมงอย่างแรง
แต่ทำไงได้ล่ะครับ สตูดิโอเขามีอำนาจสั่งการ หนังเลยออกมาห้วนๆ แบบนี้น่ะแหละ