หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังผจญภัย , หนังดราม่า
เรื่องย่อ : ดูหนัง War Horse (2011) ม้าศึกจารึกโลก เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ : War Horse (2011) ม้าศึกจารึกโลก
ดัดแปลงจากนิยายของไมเคิล มอร์เพอร์โก เป็นเรื่องราวของอัลเบิร์ต (เจเรมี เออร์วีน) เด็กหนุ่มชาวนาในอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่โจอี้ ม้าเพื่อนแก้วของเขานั้นต้องถูกเกณฑ์มาเป็นม้าศึกทำสงคราม และเหมือนชะตาเล่นตลก เขาเองก็ถูกส่งไปแนวหน้าในช่วงเวลาต่อมา ทั้งคู่ต้องพลัดพลาดกันไปคนละทิศละทาง แต่อัลเบิร์ตก็ออกตามหาด้วยใจที่คาดหวังว่าจะได้พบโจอี้อีกครั้ง ความเดียงสาของทั้งคู่ถูกเปลี่ยนไปตามความโหดร้ายของสงคราม แต่มิตรภาพกลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
IMDB : tt1568911
คะแนน : 7.2
รับชม : 13924 ครั้ง
เล่น : 6111 ครั้ง
ป้ายกำกับ : หนังออนไลน์ , ดูหนังออนไลน์ , ดูหนังออนไลน์ฟรี , ดูหนังออนไลน์ฟรีเต็มเรื่อง
เคยเกริ่นๆกับบางท่านไว้ว่า ในโอกาสครบรอบ 100 ปีสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 2014 หรือ พ.ศ. 2557 เราคงจะได้ดูภาพยนตร์ดีๆ เกี่ยวกับสงครามครั้งนั้นกันบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ต้องรอกันขนาดนั้น ขณะที่เขียนบทความนี้ในปี 2012 หรือ พ.ศ. 2555 ก็มีหนังสงครามดีๆ เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้ได้ดูกันแล้ว จากฝีมือการกำกับของสตีเว่น สปีลเบิร์ก คือ เรื่อง War Horse หรือในชื่อไทยที่คล้องจองกันอย่างสวยหรูว่า "ม้าศึกจารึกโลก" ครับ ถ้าจะถามว่าในสงครามโลกยังใช้ม้าในการรบกันอยู่หรือ คำตอบคือ "ใช่" ครับ ไม่ว่าในสงครามโลกทั้งสองครั้งมาจนถึงปัจจุบัน แต่การที่กองทหารม้าจะวิ่งตลุยเข้าใส่ข้าศึกอย่างในภาพยนตร์เรื่อง Light Horsemen นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ บทบาทของม้าได้ถูกจำกัดลงดังจะได้เห็นจากภาพยนตร์เรื่อง War Horse ที่กำลังจะคุยกันต่อไปนี้ ว่าที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ม้าในยุคไหนสมัยไหน ดูเหมือนพวกมันจะต้องมาพลอยรับกรรมจากสงครามที่มนุษย์ส่วนหนึ่งก่อขึ้น เช่นเดียวกับมนุษย์อีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องรับกรรมจากสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย
พยายามทำความรู้จักตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ
พยายามฝึกฝนให้เป็นม้าใช้งาน
เริ่มรับการฝึกฝนเป็นม้าศึกร่วมกับเจ้าม้าดำท็อปธอนที่จะกลายมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันอีกนาน
ในกองทหารม้า โจอี้ได้เจอกับม้าอีกตัวที่ต่อมาได้เป็นเสมือนเพื่อนคู่รักคู่แข่งกัน คือเจ้าม้าสีดำชื่อท็อปธอน (Topthorn) ของผบ.หน่วยทหารม้า แม้ตอนแรกโจอี้จะออกแววพยศอยู่บ้าง แต่ผู้กองนิโคลส์ได้ฝึกมันด้วยความรักความเอาใจใส่จนกระทั่งกลายเป็นม้าที่ มีฝีเท้าเร็วกว่าเจ้าท็อปธอนและม้าอื่นๆ ทั้งหมด แต่เมื่อถึงสนามรบจริงการโจมตีของทหารม้ากลายเป็นยุทธวิธีที่ล้าสมัยไปแล้ว เช้าวันหนึ่งในสมรภูมิฝรั่งเศส ทหารม้าอังกฤษกองนี้ได้เข้าโจมตีทหารราบเยอรมันหน่วยหนึ่งซึ่งตอนแรกดู เหมือนจะประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ครั้นพอทหารเยอรมันเผ่นเข้าไปตั้งหลักในชายป่าได้ก็เริ่มกราดปืนกลเข้า ใส่ทหารม้าอังกฤษจนทั้งคนทั้งม้าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง รวมทั้งผู้กองนิโคลส์ด้วย ส่วนโจอี้กับท็อปธอร์นนั้นรอดจากระสุนปืนของเยอรมันมาได้เพื่อที่จะได้ผจญ ภัยกันต่อ ทหารเยอรมันได้นำมันทั้งสองและม้าอื่นๆที่รอดชีวิตไปใช้เทียมเกวียนพยาบาล โดยโจอี้และท็อปธอร์นอยู่ในความดูแลของสองพี่น้องคือกุนเธอร์และไมเคิลผู้ น้องซึ่งมีอายุเพียง 14 ปี อยู่มาไม่นาน เมื่อแนวหน้ามีการรบรุนแรงขึ้น ผู้บังคับบัญชาได้นำไมเคิลกับทหารอื่นๆอีกหลายนายไปเสริมกำลัง กุนเธอร์ซึ่งเคยรับปากพ่อแม่ว่าจะนำไมเคิลกลับบ้านอย่างปลอดภัยได้นำโจอี้ และท็อปธอร์นไปชิงตัวไมเคิลออกมาจากแถวทหารที่กำลังเดินไปยังแนวหน้าแล้วไป พักค้างคืนที่โรงสีลมแห่งหนึ่ง แต่ถูกผู้บังคับบัญชาตามไปพบแล้วถูกนำตัวไปยิงเป้าทั้งคู่
การโจมตีแบบทหารม้าดั้งเดิมอันสวยหรู แต่จบลงอย่างย่อยยับ
ภาพยนตร์เรื่อง War Horse นี้ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ของไมเคิล มอร์เพอร์โก (Michael Morpurgo) บอกเล่าเรื่องราวความผูกพันระหว่างม้าแสนรู้สีน้ำตาลชื่อโจอี้กับชายหนุ่มชื่ออัลเบิร์ต นาราค็อต (Albert Narracott) ชาวเมืองเดวอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนที่เขายังเด็กอยู่ได้มีโอกาสเห็นมันตั้งแต่เกิด แล้วก็ได้แต่ใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของมัน จนกระทั่งวันหนึ่งความฝันของเขาก็เป็นจริง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความยุ่งยากต่างๆ นานาในครอบครัว เนื่องจากพ่อของเขา (Ted Narracott) ไปประมูลซื้อมันมาในราคาที่แพงถึง 30 กินีแทนที่จะรอประมูลม้าตัวอื่นที่เหมาะสมกับการใช้งานกสิกรรมในราคาที่ถูกกว่านี้ เพียงเพราะเท็ดเกิดหมั่นไส้อยากเอาชนะเศรษฐีที่เป็นเจ้าหนี้เขาอยู่ อัลเบิร์ตพยายามฝึกฝนโจอี้ที่ทั้งดื้อและดูบอบบางเกินกว่าจะใช้งานหนักให้เป็นม้าที่มีทั้งฝีเท้าเร็วและมีพลกำลังพอที่จะทำงานไถพรวนดินสำหรับการทำไร่ได้ แต่จากปัญหาทางด้านการเงินและอื่นๆ ที่รุมเร้าครอบครัวมาตลอด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในปี 1914 เท็ด นาราค็อต ได้ตัดสินใจขายโจอี้ให้กับกองทหารม้าหน่วยหนึ่งที่กำลังจะออกสู่สงคราม ท่ามกลางเสียงคัดค้านของอัลเบิร์ต แต่ร้อยเอกนิโคลส์ผู้ซึ่งกำลังจะเป็นนายใหม่ของโจอี้ได้แสดงความเห็นใจอัลเบิร์ตและรับปากว่าหากเขาและโจอี้รอดจากสงครามมาได้เขาจะนำมันมาคืนอัลเบิร์ตด้วยตัวเอง
สองพี่น้องกุนเธอร์กับไมเคิล
อยู่กับตาหลานชาวฝรั่งเศสได้พักหนึ่งก่อนกลับสู่สมรภูมิ
เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าของบ้านคือคุณตากับหลานสาวกำพร้านามเอมิลี่มาพบโจอี้กับท็อปธอร์นเข้า ก็เลี้ยงดูตลอดจนฝึกหัดและเล่นกับมันอย่างมีความสุขอยู่ได้ระยะหนึ่ง ก็ถูกทหารเยอรมันหน่วยหนึ่งมาพบเข้า และยึดม้าทั้งสองไปเตรียมใช้ในการลากปืนใหญ่ ซึ่งคราวนี้เป็นงานที่หฤโหดมาก ม้าหลายตัวต้องสังเวยชีวิตไปกับภารกิจนี้ และท็อปธอร์นซึ่งบาดเจ็บที่ขากำลังจะถูกนำไปใช้งานแทนม้าตัวเดิมที่ตายไป เจ้าโจอี้ได้แสดงความแสนรู้พุ่งปราดเข้ามารับหน้าที่แทน จนกระทั่งปืนใหญ่สามารถเข้าสู่ที่ตั้งยิงได้ ต่อมาอัลเบิร์ตถูกเกณฑ์มาเป็นทหารและเข้าสู่สมรภูมิด้วยความหวังที่จะได้พบกับโจอี้ ในการรบครั้งหนึ่ง อัลเบิร์ตและเพื่อนทหารอังกฤษสามารถบุกตลุยไปจนถึงแนวสนามเพลาะของฝ่ายข้าศึกได้ แต่กลับถูกแก๊สพิษจนตาบอดและถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลสนาม กลับมาทางฝ่ายโจอี้กับท็อปธอร์น หน่วยทหารที่ดูแลมันทั้งสองได้ถูกข้าศึกโจมตี ในขณะที่ท็อปธอร์นนั้นบาดเจ็บและเหนื่อยอ่อนเต็มทีจนขาดใจตายไปในที่สุด ส่วนโจอี้เองได้พบกับรถถังข้าศึกก็ตกใจวิ่งหนีเตลิดไปท่ามกลางการระดมยิงของปืนใหญ่ในเวลากลางคืนจนไปติดลวดหนาม ณ จุดหนึ่งในแดนกลางระหว่างสนามเพลาะของทหารทั้งสองฝ่ายที่มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤาว่า No Man's Land นั่นแหละครับ เช้าวันรุ่งขึ้น โจอี้กลายเป็นจุดสนใจของทหารในสนามเพลาะทั้งทางฝั่งอังกฤษและเยอรมันด้วยความรู้สึกสงสารปนเหลือเชื่อกับเหตุที่เกิดขึ้นกับมัน ทางฝ่ายอังกฤษนั้น มีทหารชื่อ Colin ถือธงขาวเดินข้ามแดนกลางเพื่อตรงไปหาทางช่วยโจอี้ ทางฝ่ายเยอรมันคล้ายกับจะไม่ยอมน้อยหน้า ส่งตัวแทนชื่อ Pieter ซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ดีพร้อมทั้งคีมตัดลวดหนามเข้ามาสมทบ ทั้งสองหารือและช่วยกันตัดลวดให้โจอี้จนกระทั่งมันสามารถยืนขึ้นมาได้ในสภาพที่บาดแผลเต็มตัว แล้วทีนี้ใครควรจะเป็นฝ่ายได้ม้าไปล่ะ? ความที่ทั้งสองไม่อยากจะก่อสงครามซ้อนสงครามขึ้นมาก็เลยตัดสินกันง่ายๆ ด้วยการเสี่ยงทายโยนหัวโยนก้อยกัน โคลินซึ่งเลือกหัวเป็นฝ่ายชนะจูงม้าโจอี้กลับมายังหลังแนวของตนจนถึงบริเวณที่เป็นโรงพยาบาลสนามที่อัลเบิร์ตรักษาตัวอยู่
ผู้ดูแลยามยากอีกรายหนึ่ง
ภาระหนักในการลากปืนใหญ่
อสรูกายเหล็กตัวใหม่ในสนามรบ
โจอี้เกือบจะถูกยิงทิ้งแบบการุญฆาต (Mercy Killing) เพราะหมอดูสภาพแล้วเห็นว่าโจอี้มีแผลจากลวดหนามเต็มตัวไปหมดจนอาจตายเพราะบาดทะยักได้ แต่ด้วยความบังเอิญจากกาที่อัลเบิร์ตสามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของโจอี้ได้จากการเป่ามือเรียกมันและสามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของมันได้ทั้งๆ ที่ตาของเขายังรักษาไม่หาย ครั้นพอสงครามสงบและอัลเบิร์ตกลับมามองเห็นได้ตามปกติ ก็ยังมีเรื่องให้ต้องลุ้นกันในยกสุดท้าย เมื่อทางกองทัพอังกฤษไม่ได้ต้องการที่จะนำม้าทั้งหมดกลับไปยังประเทศนอกจากม้าของนายทหารเท่านั้น และนำม้าอื่นๆ รวมทั้งโจอี้ออกประมูลขาย ซึ่งมีพ่อค้าม้ารายหนึ่งเกือบจะประมูลได้ไปแทน เคราะห์ดีที่คุณตาของเอมิลี่โผล่มาช่วยไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ เรียกว่ากว่าคนกับม้าคู่นี้จะกลับมาอยู่ด้วยกันได้ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกันสารพัดไม่แพ้นิยายรักระหว่างหนุ่มสาวบางเรื่องเลยทีเดียวครับ
จากการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ การจะไปคาดหวังข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั้นแทบจะไม่ได้ แม้กระนั้นในแง่พัฒนาการของสงครามก็ยังน่าสนใจไม่น้อย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรบ จากที่เห็นในภาพยนตร์ตอนต้นๆ เรื่อง กองทหารม้าอังกฤษของผู้กองนิโคลส์วิ่งลุยเข้าใส่ข้าศึกตามยุทธวิธีแบบเดิมอย่างสวยงามได้ไม่ทันไร พอเจออาวุธสมัยใหม่ ณ ขณะนั้น คือ ปืนกลเข้าก็เป็นอันร่วงทั้งคนทั้งม้า แล้วม้าเชลยอย่างโจอี้ก็ถูกดาวน์เกรดลงมาเป็นม้าลากเกวียนพยาบาลและม้าลากปืนใหญ่ ซึ่งในเวลานั้นอุตส่าคิดปืนใหญ่ลำกล้องโตๆ ได้ แต่กลับไม่มีพาหนะที่จะใช้ขับเคลื่อนลากจูงมัน จึงต้องเดือดร้อนบรรดาม้าอย่างโจอี้ดังที่ว่า แล้วในปลายสงครามก็มีรถถังโผล่ขึ้นมาในมาดที่ดูเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดหรืออสูรกายก็ไม่ปาน ซึ่งผู้สร้างคงจะจงใจที่จะไม่กล่าวถึงทหารที่เป็นพลประจำรถถังอยู่ข้างในคล้ายกับจะเน้นถึงความไร้จิตวิญญาณของเจ้าเทคโนโลยีการฆ่าตัวใหม่ที่ทำให้โจอี้ต้องเผ่นเตลิดเปิดเปิงไปเลย
แม้อยู่คนละข้างยังมาร่วมใจกันช่วยม้า
ว่ากันตามจริงแล้ว เท่าที่เคยศึกษาเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 1 มา เหตุการณ์ที่กองทหารม้าบุกตลุยข้าศึกแล้วโดนปืนกลเยอรมันสอยร่วงกราวนั้นเคยได้ยินแต่เรื่องของกองทหารม้าฝรั่งเศสครับ ไม่ใช่ทหารม้าอังกฤษ ถ้ามีโอกาสจะหาแหล่งอ้างอิงมายืนยันอีกที ครั้นมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยมีการกล่าวอ้างว่ามีกองทหารม้าโปแลนด์บุกเข้าโจมตีหน่วยพานเซอร์ของเยอรมันแล้วตายกันเกลี้ยงทั้งคนทั้งม้า แต่นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆ ยืนยันว่าเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อของทางฝ่ายนาซีเท่านั้น ด้านกองทัพนาซีเองนั้น แม้จะมีชื่อเลื่องลือในด้านหน่วยรถถังพานเซอร์ แต่นั่นเป็นเรื่องราวของหน่วยระดับหัวกะทิหน่อยเท่านั้นครับ ความที่กองทัพเยอรมันขาดแคลนน้ำมันอยู่ตลอด ทำให้หลายหน่วยยังคงเป็นหน่วยทหารราบที่ใช้ม้าสนับสนุนภารกิจต่างๆ เช่น การขนส่งลำเลียงและการลากจูงอาวุธปืนชนิดต่างๆ ทางด้านรัสเซียนั้น กองทหารม้าคอสแซคอันเลื่องชื่อก็ไม่ได้ใช้ม้าในการบุกเข้าโจมตีโดยตรง แต่จะใช้พวกมันในการเดินทางในยามค่ำคืนเพื่อลบเลี่ยงการตรวจจับของเครื่องบิน เมื่อใกล้ที่หมายก็จะลงจากหลังม้าแล้วเข้าโจมตีที่หมายเช่นเดียวกับทหารราบทั่วไป เสร็จภารกิจแล้วจึงกลับมาขึ้นหลังม้าเดินทางกลับกันครับ เชื่อว่าการใช้ม้าในสงครามสมัยใหม่น่าจะยังมีอีกมากอันเนื่องจากภูมิประเทศแต่อาจจะไม่ค่อยมีปรากฏให้เราทราบมากนัก ถ้ามีโอกาสจะได้นำมาเสนอกันต่อไปครับ
กลับมาพบกันในที่สุด
คุณตาของเอมิลี่มาช่วยในตอนสุดท้าย
ประเด็นที่ต้องคุยกันเสมอเมื่อมีหนังสงครามโลกออกมาจากทางฝั่งฮอลลีวู้ดว่า ภาพลักษณ์ของฝ่ายเยอรมันที่เป็นข้าศึกนั้น ออกมาในแนวผู้ร้ายหรือไม่เพียงใด ในภาพยนตร์เรื่อง War Horse นี้ ดูกันเผินๆ ตั้งแต่ต้นคล้ายกับว่าจะเป็นสูตรสำเร็จที่เยอรมันจะเป็นผู้ร้ายอีกตามเคย แต่ถ้าทบทวนให้ดีๆ ความร้ายที่ว่าจะไปอยู่กับตัวทหารระดับสั่งการซะมากกว่า ขณะที่ทหารระดับล่างๆ ที่ได้มาดูแลเจ้าม้าโจอี้ ไม่ว่าจะเป็นสองพี่น้องกุนเธอร์กับไมเคิล หรือตาจ่าที่ควบคุมบรรดาม้าลากปืนใหญ่นั้น อยู่ในสภาพผู้ถูกกระทำจากความเฮี้ยบของกองทัพเยอรมันไม่น้อยไปกว่าม้าเลย เมื่อถึงตอนที่โจอี้ไปติดลวดหนามอยู่ใน No Man's Land นั้น บรรดาไพร่ผลทั้งฝ่ายอังกฤษและเยอรมันแม้จะอยู่ต่างขั้วต่างฝ่าย แต่กลับมาแสดงความห่วงใยต่อม้าในแบบใจเดียวกันเป๊ะ ตั้งแต่ต้นเรื่องมาโจอี้นั้นเป็นม้าที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมในสงครามที่มนุษย์ก่อขึ้นโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรดังที่ผมกล่าวในตอนต้นๆ พอถึงตอนนี้้มันกลับกลายเป็นเหมือนผู้ที่่มาพิสูจน์ว่าความเมตตานั้นไม่อาจแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกันได้เหมือนสงครามที่กำลังดำเนินอยู่
ในภาพรวมแล้วจัดว่า War Horse เป็นภาพยนตร์ประวัติศาสตร์สงครามที่ดูจะกึ่งดรามากึ่งนิทานสำหรับเด็กที่น่าจะดูกันได้ดีทั้งครอบครัว ฉากสงครามที่ดูอลังการและสมจริงก็ไม่ได้มีอะไรที่สยดสยอง ความแสนรู้ของม้าที่อาจจะเกินจริงอยู่ซักหน่อย ก็อาจจะช่วยให้เรารักและเอ็นดูมันมากขึ้นจากเดิมที่อาจจะคุ้นกันอยู่แค่น้องหมาน้องแมว และสุดท้ายหวังว่าสงครามของมนุษย์ที่ทำร้ายทั้งมนุษย์และสัตว์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทั้งหลายจะได้บรรเทาเบาบางลงบ้างตามสมควรครับ