หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังผจญภัย , หนังแฟนตาซี , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi
เรื่องย่อ : Justice League จัสติซ ลีก (2017) [พากย์ไทย บรรยายไทย]
โลกปัจจุบัน เมื่อคนทั้งโลกกำลังเศร้าโศกจากการสูญเสียซูเปอร์แมน ความตายนี้ได้กระตุ้นให้ Mother Box ส่งสัญญาณไปถึง Steppenwolf ด้วยว่าโลกตอนนี้ไร้ผู้ปกป้อง และเป็นโอกาสที่ Steppenwolf จะได้ทำความดีความชอบให้กับ Darkseid ผู้เป็นนาย Steppenwolf จึงวางแผนที่จะใช้พลังของ Mother Box ทั้งสาม เพื่อทำให้เกิดยูนิตี้ เป็นการทำลายระบบนิเวศของโลกลง และเปลี่ยนแปลงดาวเคราะห์โลกใหม่ให้เหมือนดังดาวเคราะห์บ้านเกิดของ Steppenwolf
Steppenwolf ชิงเอา Mother Box มาจากเมือง Themyscira ได้สำเร็จ ราชินี Hippolyta จึงเตือน Diana บุตรสาวว่า Steppenwolf ได้กลับมาแล้ว Diana จึงไปสมทบกับ Bruce Wayne เพื่อช่วยกันตามหาเหล่า metahuman มาร่วมการต่อสู้นี้ โดย Wayne เดินทางไปพบกับ Arthur Curry และ Bary Allen ในขณะที่ Diana ตามหา Victor Stone ทางฝ่าย Wayne นั้นล้มเหลวในการชวน Curry เข้าร่วมกลุ่ม แต่ก็ได้ตัว Allen ซึ่งมีความกระตือรือร้นอย่างมาก เข้ามาร่วมทีม ส่วนทาง Diana แม้จะไม่สามารถชักชวน Stone ให้เข้าร่วมได้ แต่ Stone ก็รับปากจะช่วยตามหาตำแหน่งของภัยคุกคาม หากเขาสามารถหาได้พบ ในเวลาต่อมา Stone ก็เข้าร่วมกับทีม เมื่อ Silas ผู้เป็นพ่อ และเจ้าหน้าที่คนอื่นของ S.T.A.R. Labs ถูก Steppenwolf ลักพาตัวไป เพื่อตามหา Mother Box กล่องที่อยู่กับมนุษย์โลก
IMDB : tt0974015
คะแนน : 6.4
รับชม : 20235 ครั้ง
เล่น : 8386 ครั้ง
รีวิวนี้อาจยาวนิดเพราะอยากให้เห็นภาพรวมจุดอ่อนจุดแข็ง กับหนังเรื่องยิ่งใหญ่ความหวังใหม่แห่งพลพรรค DC ที่รวมเหล่าตัวเอกมาคับคั่ง ประหนึ่งอเวนเจอร์สของฝั่ง Marvel นั่นเลยครับ (ถ้ามีสปอยล์จะซ่อนในกล่องข้อความครับ)
เขาว่ายอดวีรบุรุษ/วีรสตรี ต้องมีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่เสมอกันให้สร้างตำนานเล่าขาน เรื่องนี้ก็มีก้าวยากลำบากนามว่า ดราม่าในงานสร้าง มาให้ได้เป็นระยะ ๆ จนน่าเป็นห่วงคุณภาพหนังเลยทีเดียว แม้ว่าหนังจากวิสัยทัศน์ของ แซก ชไนเดอร์ ที่คุมทิศทางของเหล่าฮีโร่ให้ค่ายดีซี และวอร์เนอร์ มาถึงปัจจุบันจะสร้างเสียงทั้งชื่นชมและก่นด่าออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ก็ต้องยอมรับว่างานด้านภาพของชไนเดอร์นั้นโดดเด่นกว่าหนังฮีโร่จากอีกค่ายอยู่หลายช่วงตัว
รวมถึงแนวทางที่จะรักษาโทนมืดมนให้จักรวาลหนังก็เป็นอะไรที่ทำให้มันมีที่ยืนแตกต่างจากแนวการ์ตูนจ๋าวาไรตี้แบบอีกค่ายหนึ่งชัดเจนเช่นกัน แต่ในอีกทางหนึ่งนั้นการเล่าเรื่องที่กระท่อนกระแท่น รวมถึงบทที่มีวัตถุดิบปริมาณมากที่อยากให้นำมาใส่จนล้นเวลของหนังก็กลายเป็นตัวขัดขวางการเล่าเรื่องไปในตัวอีกด้วย แน่นอนว่าเหมือน เด็กเนิร์ดที่อยากเล่าเรื่องคอมมิคที่ชอบโดยไม่สนใจคนทั่วไปจะรู้เรื่องด้วยมั้ย
และอุปสรรคแรกของรวมทีมฮีโร่ดีซี ก็เกิดเมื่อชไนเดอร์มีปัญหาส่วนตัวจนประกาศถอนตัวจากหนังที่จะเรียกว่าเสร็จแล้วก็ว่าได้เหมือนกัน เปิดทางให้ จอส วีดอน ผู้เคยทำให้อเวนเจอร์สเป็นการรวมทีมฮีโร่ที่โคตรเจ๋งที่สุดของโลกภาพยนตร์มารับบทบาทต่อ แม้ทางค่ายจะพยายามพูดว่าไม่ได้มาจากประเด็นตัวหนังมีปัญหาและวีดอนจะมาสานต่อในแนวทางที่ชไนเดอร์สร้างไว้แน่นอน แต่ก็เลี่ยงยากเพราะคนต่างจับจ้องนินทาอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อหนังต้องทำการถ่ายเพิ่ม-ถ่ายซ่อมในหลายฉาก และที่สำคัญการปลด จังกี้ เอ็กแอล คนทำดนตรีคู่บุญของชไนเดอร์ออกแล้วนำ แดนนี่ เอลฟ์แมน คนทำดนตรีมือทองที่เคยร่วมงานกับวีดอนใน Avengers: Age of Ultron (2015) เข้ามาแทน ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าค่ายหนังพยายามรื้อหนังเดิมใหม่แบบเนียน ๆ หรือเปล่า
จากนั้นหนังยังมีดราม่าออกมาเรื่อย ๆ ทั้งประเด็น เบน แอฟเฟล็ก ที่น่าจะไปได้ไม่ค่อยดีกับค่ายวอร์เนอร์ รวมถึงก่อนหนังจะเข้าโรงก็มีข่าวลือถึงคะแนนรอบวิจารณ์ที่ไม่สู้ดีนัก และเมื่อคำวิจารณ์ชุดแรกออกมาก็เรียกว่าค่อนข้างก้ำกึ่งและค่อนเอียงไปทางไม่ชอบอยู่เยอะเหมือนกัน
แต่กับความเห็นส่วนตัวที่ไม่เคยชอบหนังค่ายดีซียุคหลังโนแลนเลยสักเรื่อง พอได้ดูเองก็คิดว่ากับคำถามอย่าง กลุ่มยอดฮีโร่กลุ่มนี้สามารถผ่านกำแพงหินที่ว่าหนังดีซีมักไม่สนุกได้มั้ย? คำตอบคิดว่านักวิจารณ์หลายสำนักใจร้ายกับตัวหนังมากไป และแม้จะไม่ได้สง่างาม แต่หนังก็ผ่านกำแพงนี้ได้สบาย ๆ ครับ
หนังมีจุดแข็งที่งานภาพที่ต้องยอมรับว่ามีความเป็นภาพยนตร์สูงมาก ทั้งมุมกล้อง การวางองค์ประกอบศิลป์ การจัดแสง นี่ยังรวมถึงการออกแบบการต่อสู้ที่ส่วนตัวให้ชนะฝั่งมาร์เวลนะ เพราะดูรุนแรงและเอาจริงเอาจังดูจะเจนในแนวแอคชั่นมากกว่า ซึ่งพัฒนาขึ้นจากหนังเรื่องเก่า ๆ อย่าง Man of Steel (2013) และ Batman v Superman: Dawn of Justice (2016) ที่แม้จะสวยจริงแต่ก็ยืดย้วยน่าเบื่อไปนิด มาในเรื่องนี้คิดว่ากำลังพอดี ๆ เลย พอฉากไม่ย้วยหนังเลยมีความยาวแค่ 2 ชั่วโมงได้ จากปกติหนังที่ผ่านมาจะอยู่ที่ราว 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่อาจนานเกินไปถ้าจะอัดความน่าเบื่อแบบ BVS มาอีก นับว่าดีที่รู้ตัวว่าเล่าเรื่องไม่สนุกได้แบบมาร์เวลก็อย่าไปฝืนเล่าให้เท่ากัน เน้นจุดที่ตัวเองเก่งพอ
ตัวเนื้อเรื่อง หลายคนบอกว่าเล่ากระชับเร็วไปมาก แต่หากมองในตัวเนื้อของมันจริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรให้เล่าเยอะแยะอยู่แล้ว นี่ขนาดตัดแล้วตัดอีกจากตัวละครจำนวนมากและโลเกชั่นที่ต่างกันหลายเมืองแล้ว ก็ยังไม่พ้นมีฉากที่มันย้วยให้หาวอยู่เหมือนกันแต่น้อยลงกว่า BVS มากแล้วด้วย
หนังเล่าถึงการกลับมาของ สเตพเพนวูลฟ์ สิ่งมีชีวิตต่างดาวตัวร้ายที่หลายเผ่าพันธุ์บนโลกทั้ง อเมซอน แอตแลนติส และมนุษย์เคยร่วมมือกันขับไล่ไปเมื่อ 5,000 ปีก่อน โดยการทำลายกล่องพลังงานของสเตพเพรวูลฟ์จนแตกออกเป็น 3 ส่วน แล้วแบ่งกันเก็บรักษาไว้ใน 3 เผ่า (ฉากนี้นึกว่าดู The Lord of the Rings เลย 555) เพราะโลกได้ขาดเทพปกป้องอย่าง ซูเปอร์แมน ไปแล้วใน BVS ซึ่งการที่ แบทแมน กับ วันเดอร์วูแมน ล่วงรู้ถึงภัยร้ายใหม่นี้จึงได้ออกตามหาเหล่ายอดมนุษย์ในยุคปัจจุบันมาร่วมทีมกันต่อต้าน และทำให้ได้พบกับ เดอะแฟลช ที่เหมือนเด็กเกรียน อควาแมน ที่พยายามหลบสังคม และ ไซบอร์ก ที่เก็บตัวจิตตกกับร่างกายที่เขาเป็น
ส่วนที่น่าสนใจคือการสร้างตัวละครได้น่าสนใจดี แม้จะทำให้นึกถึงทีมอย่างอเวนเจอร์สอยู่บ้างแต่ก็ถือเป็นการหยิบยืมในทางที่ดี (ฉากที่เหล่าฮีโร่เถียงกันเองนี่มันอเวนเจอร์สแบบชัด ๆ เลย) แบทแมน มีปมในการเป็นหัวหน้าทีมที่ยังไม่ดีพอ และลึก ๆ เขารู้สึกผิดที่ทำให้โลกนี้ขาดซูเปอร์แมนไป (มีส่วนผสมของไอออนแมนกับกัปตันอเมริกา)
วันเดอร์วูแมน มีปมในเรื่องส่วนตัวกับการสูญเสียคนรักไปในอดีต (เทพก็ประมาณ ธอร์)
เดอะแฟลช มีปมเรื่องครอบครัวเมื่อพ่อของเขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าแม่เขาเองและเขายังยึดติดกับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อเขา (ความเกรียนความไม่มั่นใจในตัวเองประมาณ สไปเดอร์แมน ไม่แปลกเลยที่คนดูจะรักเขาสุด)
อควาแมน มีปมที่ถูกเผ่าแอตแลนติสทอดทิ้งให้เติบโตในครอบครัวมนุษย์จนเขาไม่อยากยุ่งกับสังคมโลกภายนอกหมู่บ้านที่เขาเกิด (มีความเป็นธอร์ที่ถูกขับจากแอสการ์ด)
และไซบอร์ก มีปมเรื่องร่างกายตัวเองที่ถูกดัดแปลงจากเทคโนโลยีต่างดาวเพื่อกู้ชีวิตจากอุบัติเหตุจนเขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนอีกแล้วและอาจเป็นอันตรายต่อโลกนี้ (มีความสามารถแบบ วิชั่น ที่มีปมแบบฮัลค์)
ส่วนอีกตัวละครหนึ่ง คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั้น...
ซูเปอร์แมน ถูกปลุกจากความตายและยังจำตัวตนในอดีตไม่ได้ ทำให้เขาเกือบจะเป็นตัวร้ายที่ปราบเหล่าฮีโร่จนสิ้นทีมในช่วงกลางเรื่องเลย เป็นหนึ่งในฉากที่ดีสุดของหนังด้วย นี่ทำให้นึกถึงตัวซูเปอร์แมนภาคร้ายโหด ๆ ในเกม Injustice เลย ซึ่งถ้ามาแนวนี้ก็แสดงว่าเราจะไม่ได้เห็นซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นร้ายแล้วล่ะ เหมือนที่คงไม่เห็นฮัลค์โหดแบบคอมมิคชุด Planet Hulk ที่ซัดเหล่าฮีโร่มาร์เวลจนเกลี้ยงในจักรวาลหนังอีกแล้ว
ส่วนที่เป็น จุดอ่อนของหนังอย่างจริงจัง คือ ซีจี กับงานซ่อมแก้หนังที่เห็นร่องรอยชัด จนทำให้คุณภาพงานสร้างหนังไม่เต็มร้อยนัก หลายฉากดูขัดเขินหลายฉากดูหลุด ๆ และหลายฉากที่ดูเผางาน แต่ถ้ามองภาพรวมของทั้งเรื่องมันไม่ได้ส่งผลจนหนังเป๋หนักอะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกมุกพวกจังหวะนั้นแป้กกว่าหนังมาร์เวลเยอะมาก หลายครั้งเรามองเราฟังแบบผ่าน ๆ ไม่คิดว่ามันต้องตลกจะรู้สึกดีกว่า เพราะจริง ๆ มุกเหมือนของแถมในความเป็นแอคชั่นมากกว่าที่จะเป็นองค์ประกอบจริงจังแบบในหนังมาร์เวล
สรุป อย่าไปตั้งความหวังสูง หนังสนุกแต่ก็มีแผลเยอะ มันคือหนังฮีโร่ที่ดูสนุกและถูกที่ถูกทางในแนวของตัวเอง และที่สำคัญช่วยแก้เลี่ยนความลั้นลาและเหลาะแหละจนเกินไปของหนังมาร์เวลอย่าง Thor: Ragnarok ได้อย่างดีเชียว
หนังมีฉากหลังเครดิตจบ 2 ตอน คือ
1.มาหลังจากหนังจบเลย จะเป็นฉากที่เดอะแฟลชท้าซูเปอร์แมนมาวิ่งแข่งกันว่าใครไวกว่าหลังจากมีดวลกันแบบไม่ตั้งใจไปหลายรอบในหนัง
2.มาหลังจากเครดิตทีมงานจบ จะเป็นฉากที่พัสดีเข้ามาพบว่า เล็กซ์ ลูเธอร์ ถูกสับตัวหนีจากคุกไปแล้ว ส่วนตัวจริงนั้นกำลังวางแผนรวมตัวเหล่าร้ายมาสู้กับจัสติซลีกบ้าง โดยตัวร้ายตัวแรกที่ถูกเชิญมาก็คือ.. เดธสโตรก สุดยอดนักฆ่ารับจ้างคู่ปรับแบทแมนที่มีข่าวว่าจะไปปรากฏตัวในหนังเดี่ยวของพี่แบทนั่นเอง