หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังแอคชั่น , หนัง Netflix , หนังสงคราม
เรื่องย่อ : Sand Castle แซนด์ แคสเทิล (2017)
IMDB : tt2582576
คะแนน : 6.3
รับชม : 6782 ครั้ง
เล่น : 2267 ครั้ง
“กูไม่ได้อยากมารบ กูแค่จะมาหาเงิน”
บอกตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่หลังจากที่เลื่อนดูโปรแกรมในแอพ Netflix ว่ามีอะไรน่าดูบ้าง ก็ไปสะดุดกับเรื่องนี้ ที่มีภาพปกของเรื่องสวยจริงๆ จนต้องใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง สำหรับเรื่องนี้ รวมไปถึงมีสตาร์ดังอย่าง เฮนรี่ คาร์วิลล์ มาแสดงด้วย เลยทำให้น่าดูขึ้นไปอีก
ธีมหลักของหนังจะอยู่กับทะเลทราย แสงแดดร้อนจ้า และรถฮัมวี่เปื้อนฝุ่น โดยหนังเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงของ คริส โรเอสเนอร์ ผู้เขียนบท ที่เคยเป็นทหารอยู่ในประเทศอิรักในปี 2003 ซึ่งกล่าวถึงพลทหารโอเคอร์ ตัวเอกของเรื่องที่เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ไม่ได้อยากจะมาตายเพื่อชาติ ไม่ได้อยากจะมาสวมเครื่องแบบเปื้อนฝุ่นทราย ในพื้นที่ห่างไกลแผ่นดินเกิดของตัวเองแบบนี้ เค้าแค่มาสมัครเข้ากองทัพเพียงต้องการเงินเบี้ยเลี้ยงไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น แบบประโยคเริ่มต้น แต่ดันได้รับภารกิจให้ไปซ่อมแซมระบบส่งน้ำในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า บาคูบาห์ ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงที่สุดแห่งนึง โดยพวกเขาต้องพยายามสร้างความเชื่อใจให้แก่คนในหมู่บ้าน รวมไปถึงนำตัวเองให้รอดจากสมรภูมินี้จนจบภารกิจ
หนังปูให้เราค่อยๆซึมซับกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร และนิสัยของตัวละครต่างๆ ทั้งทหารบ้าดีเดือด กระหายสงคราม ทหารพูดมาก ที่พยายามเหมือนจะพูดเพื่อลดความกลัวของตัวเอง แต่หนังพยายามจะสร้างคาแรกเตอร์ของตัวเอกโอเคอร์ให้ดูเป็นคนที่มีอะไรในใจตลอดเวลา ทำตามคำสั่งไปวันๆ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ ถ้าในด้านเหตุผลของบท มันก็ถือว่านิสัยแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาชอบ เพราะดูเป็นคนที่ไม่บ้าเกินไป และไม่ขี้ขลาดเกินไป สามารถนำไปออกรบได้ แต่ในด้านของคนดู มันดูเหมือนตัวเอกไม่มีพัฒนาการของตัวละครเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน หน้าแกก็ยังดูนิ่ง สุขุม ดูเป็นทองไม่รู้ร้อนตลอดเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าผู้กำกับแกสั่งเอาไว้ว่าคาแรกเตอร์มันต้องเป็นแบบนี้รึเปล่า
หนังไม่ได้มีการสู้รบกันตลอดทั้งเรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่องของการลอบโจมตี ความไม่ไว้วางใจกันทั้งสองฝ่าย ในช่วงแรกๆอาจมีบ้างที่บทออกจะเนือยๆ แต่พอเข้าช่วงหลังของหนังแล้ว ใส่กันไม่ยั้งเหมือนกัน
มีหลายช่วงที่หนังดูจะพยายามใส่ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน โดยใส่บทให้ทหารสามารถโทรกลับไปหาคนที่บ้านได้ แต่ก็ดูไปได้ไม่สุดเท่าไร มีฉากที่ก่อนออกรบ ทหารนายหนึ่งโทรศัพท์กลับไปบอกเมียที่บ้านและร้องไห้ แต่ก็มีฉากนั้นอยู่ไม่ถึง 1 นาที ด้วยซ้ำ ทำให้ไม่ได้มีความอินอะไรกับอารมณ์นี้เท่าไร เหมือนกับหนังจะบอกว่า “เออ กูทำให้ดูซึ้งแล้วนะ ไปๆ ไปรบกันได้แล้ว” อะไรแบบนี้
แต่ถือว่าทำออกมาใช้ได้ทีเดียวสำหรับเรื่องนี้ ให้อารมณ์สไตล์หนังเรื่อง Jarhead ถ่ายทอดบรรยากาศ ความเครียด ความกดดันในภารกิจได้ค่อนข้างโอเค อาจจะติดตรงความหน้าตายของพระเอกไปนิด ที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไร แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นหนังสงครามที่น่าดูอยู่ ดูเพลินๆได้เหมือนกัน