หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังดราม่า , หนังประวัติศาสตร์
เรื่องย่อ : Curse of the Golden Flower ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง (2006)
IMDB : tt0473444
คะแนน : 7
รับชม : 9991 ครั้ง
เล่น : 2503 ครั้ง
..ฮองเฮาในหนัง อาจได้รับพิษอีกาดำที่ทำลายประสาทให้เสื่อมสลายลงวันละน้อย แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบลง ผมพลันนึกถึงพิษอีกตัว จากคำพูดของตัวละครในหนังเรื่อง The Banquet ที่กล่าวไว้ว่พิษที่ร้ายแรงที่สุดในแผ่นดิน คือ “จิตใจมนุษย์”
เพราะเมื่อใดมนุษย์ หมดแล้วซึ่งเยื่อใย หมดแล้วซึ่งความรักความผูกพันต่อกัน เมื่อใดช่องว่างของจิตใจถูกเติมเต็มด้วย ความเกลียดชัง เราก็สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อทำลายคนอีกหนึ่งคน โดยไม่สนว่าวิธีการนั้นจะโหดเหี้ยมเพียงใด ไม่สนว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร ไม่เว้นแม้ว่า คนๆนั้นจะเป็นเพื่อนสนิท หรือ เป็นคนในครอบครัวด้วยเหตุนี้
...ฮ่องเต้จึงไปทำงานนอกพระราชวังไม่สนใจภรรยา เพราะ ไม่ได้มีใจหลงรัก ฮองเฮา หญิงสาวที่เขาแต่งงานมาเพียงเพราะเธอเป็นทางผ่านไปสู่อำนาจของเจ้าแผ่นดิน และ การแต่งงานกับฮองเฮา ทำให้เขาจำต้องกำจัด คนที่เขารักทิ้งไป
ความเกลียดชัง ทำให้ ฮ่องเต้ ไม่คิดสนใจ ฮองเฮา
ฮองเฮา อยู่กับความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา และ ทำผิดพลาดด้วยการไปมีสัมพันธ์กับองค์รัชทายาท จนไปเข้าหู ฮ่องเต้
ความเกลียดชัง ทำให้ ฮ่องเต้ วางยาพิษ ฮองเฮา ให้ตายอย่างทรมานทีละน้อย
ฮองเฮารู้ความจริง จึงเจ็บแค้นฮ่องเต้ และ ยังเจ็บปวดที่คนรักคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ ไปตกหลุมเสน่ห์คนที่สาวกว่า
ความเกลียดชัง ทำให้ ฮองเฮา วางแผนกบฎและประจานความชั่วของฮ่องเต้
ปมของความแค้น ความเกลียดชัง ทับถมทวีคูณมากขึ้นๆ ผสมโรงกับความทะเยอทะยาน ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่ส่งผลต่อกันเป็นทอดๆจากคนหนึ่งกระทบสู่อีกคน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เป็นผลให้ "ครอบครัวตัวอย่าง"ที่ฮ่องเต้วาดฝันต้องเดินไปพบจุดจบอย่างน่าอเน็จอนาถใจ
...ปีสองปีนี้ หนังย้อนยุคประเภทกำลังภายในหรือเรื่องราวในราชวงศ์ที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ ดูจะเป็นแม่เหล็กดึงดูด ผู้กำกับจีนแผ่นดินใหญ่ที่ถนัดสร้างงานเล็กๆระดับคุณภาพหลายคนหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น และ ส่วนมากแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมา ความใหญ่ของหนังก็ไม่อาจทัดเทียมหนังเล็กๆของตัวเองที่เคยทำได้ เช่น เฝิ่งเสี่ยวกัง เอาตัวรอดไปพอหวุดหวิดกับ The Banquet หรือ เฉินข่ายเก๋อ ที่มาเสียผู้เสียคนไปกับ The Promise
นั่นยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดขึ้นว่า การสร้างหนังสเกลใหญ่ๆ ไม่ใช่ใครก็ทำได้ บางคนอาจสร้างหนังเล็กๆได้ดีแต่เมื่อต้องมาคุมหนังใหญ่ ไม่สามารถคุมหนังให้มีเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียว บางเรื่องก็เทน้ำหนักไปที่เอฟเฟค บ้างก็อยากโชว์ความยิ่งใหญ่อยากโชว์ความอลังการ บางเรื่องก็มัวไปเน้นที่นักแสดง จนหนังเสียกระบวน
จางอี้โหมว เป็นหนึ่งในผู้อยู่รอดซึ่งสามารถพิสูจน์มาแล้วว่า เขาเองเป็นคนที่ทำหนังเล็กก็ได้ทำหนังใหญ่ก็ดี แม้ว่างานที่เป็นหนังใหญ่ยักษ์สองสามงานหลังจะยังไม่ดีเท่าหนังเล็กๆยุคแรกของตัวเอง แต่เขาก็คุมงานให้ออกมาค่อนข้างสมดุลลงตัวมากกว่าหลายๆคน ตัวอย่างเช่น Hero คือ บทพิสูจน์ของความทะเยอทะยานที่ผลลัพธ์เปี่ยมด้วยคุณภาพ ก่อนจะมาเป๋อยู่บ้างในบ้านมีดบิน ซึ่งความผิดพลาดน่าจะมาจากตัวบทที่ถูกกลืนกินไปกับลีลาและสไตล์ของตัวหนัง
แน่นอน งานล่าสุดอย่าง Curse of the Golden Flower ย่อมมาด้วยความคาดหวังในระดับสูง แถมหนังตัวอย่างยังสร้างความสนใจใคร่รู้ให้กับคนดูอย่างผมว่า หนังจะมีอะไรมากไปกว่า ทอง กับ นม หรือไม่ ความน่าสนใจยิ่งยวดสำหรับผมยังอยู่ที่หนังเรื่องนี้ได้โจวเหวินฟะ กับ กงลี่ สองนักแสดงในฝันมาประกบคู่กัน
...จากความอลังการงานสร้างที่หนังนำเสนอให้เห็นนั้น อาจทำให้คนดูเผลอคาดหวังเนื้อหาระดับอภิปรัชญาเหมือน Hero ซึ่งแน่นอนว่า หลายคนที่ดูหนังจบลงต้องผิดหวัง เพราะ Curse เล่าประเด็นเล็กๆภายในโครงสร้างใหญ่โต เหมือน คนตัวเล็กสวมเสื้อตัวใหญ่ จนอาจทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนกลวงโบ๋ แต่ผมกลับมองว่า เนื้อหาในหนังเรื่องนี้ไม่ว่างเปล่าเช่นนั้น
เพราะ หากเปลี่ยนบริบทจากวังทองคำเป็นบ้านธรรมดาๆหลังนึง หนังเรื่องนี้มาในแนวทางเดียวกับหนังเก่าของจางอี้โหมว และหยิบยกประเด็นเล็กๆที่อยู่ใกล้ตัวเราเหลือเกินกับเรื่องของ “สถาบันครอบครัวที่เน่าหนอนฟอนเฟะ”
จางอี้โหมวพาคนดูมาสู่ปลายทางของ
ครอบครัว ที่ผุพังจนสายเกินไปที่อะไรต่อมิอะไรจะมาซ่อมแซม ชวนให้คิดถึงชื่อหนังสือ การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ความรักก็ไม่อาจเยียวยา ทำได้เพียงเฝ้าดูว่า มันจะถล่มพินาศลงมาเมื่อใด
...เราคงเคยเห็น ครอบครัวที่มุ่งสร้างแต่เปลือกภายนอกหรือภาพลักษณ์สวยหรู , เจ้าของตำแหน่งครอบครัวตัวอย่างคว้าหลายรางวัล , ครอบครัวที่มีรถหรูหราบ้านหลังใหญ่โต ฯลฯ
สรรพสิ่งสวยงามเลิศหรูของ”เปลือก”เหล่านั้น ไม่ต่างอะไรจาก พระราชวังทองคำ เครื่องประดับโอ่อ่าตระการตา และ ดอกเบญจมาศนับพันนับหมื่นต้น ครอบครัวที่ภายนอกสวยงาม ภายในกลับมีอาการความเจ็บป่วยของสถาบันครอบครัวที่สาหัสสากรรจ์
ความเจ็บป่วยนั้นประกอบไปด้วย
พ่อผู้ให้ความสำคัญกับงานและยศฐาบรรดาศักดิ์มากกว่าสิ่งอื่นใด , แม่ผู้จมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ความเปลี่ยวเหงา อาศัยกับลูกเลี้ยง จนเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจให้ตัณหาครอบงำ ส่งผลให้เป็นครอบครัวที่ต่างคนต่างอยู่ ทิ้งให้ลูกคนเล็กไม่มีใครสนใจ แม้จะเรียกร้องหาความรักความอบอุ่นอย่างไร ก็ไม่มีใครแคร์ เพราะทั้งพ่อ แม่ และ พี่ ล้วนห่วงแต่เรื่องของตัวเองจุดเริ่มต้นของอาการป่วยของครอบครัวข้างต้นอยู่ตรงไหนกัน ?เป็นพ่อที่ไม่เคยแยแสใยดี หรือ เป็นแม่ที่ไม่ยอมหักห้ามใจ
เป็น ความโกรธแค้นของฮ่องเต้ที่ฮองเฮาไปมีความสัมพันธ์กับลูกชายตัวเองจนต้องวางยาพิษ หรือ เป็นความเกลียดชังที่ฮองเฮาสั่งสมมาจากชีวิตคู่และความอ้างว้างในการมีชีวิตอย่างไร้รัก
การวินิจฉัยหาสาเหตุพยาธิสภาพของ ครอบครัว ที่มีอาการเจ็บป่วยเช่นนี้นั้น อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะ ปมปัญหาที่ทับถมซ้อนกันไว้นั้น มันยุ่งเหยิงจนไม่สามารถจะคลี่คลาย เชื้อร้ายที่ชื่อ "ความเกลียดชัง" ช่วยเร่งปฏิกิริยาการเน่าสลายของครอบครัว แถมยาตัวเดียวที่รักษาได้ที่ชื่อว่า "ความรักความผูกพัน" ก็หมดอายุไปนานแล้ว
...นอกจาก "ความเป็นครอบครัว" ที่พินาศย่อยยับแล้ว ถ้าไม่นับองค์ชายรอง “ความเป็นคน”ของตัวละครของสมาชิกครอบครัวที่เหลือในหนัง ก็ล้วนค่อยๆร่อยหรอลงไปทุกที
ฮ่องเต้กับศีลธรรมที่สูญสลาย ... ว่ากันว่า คนที่ให้คุณค่ากับลาภยศชื่อเสียงหลงมัวเมาในอำนาจจนไม่อาจปล่อยวาง ย่อมต้องมีชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง นั่นจึงทำให้ คนที่เลือกเดินทางสายนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องอำนาจของตัวเอง เช่น แต่งงานกับคนที่ไม่รักเพื่อครองอำนาจ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งสังหารผู้หญิงคนเดียวที่เขารักเพื่อปกปักษ์ความลับ ความเหี้ยมโหดกับอำนาจบาตรใหญ่ที่ฮ่องเต้กระทำต่อฮองเฮาและคนในครอบครัว ก็ ไม่ต่างจากครอบครัวบ้านเรา ที่มีพ่อขี้เมา พ่อติดการพนัน พ่อที่นิยมใช้ความรุนแรงควบคุมคนในบ้านให้เดินตามฮองเฮากับความรักที่แห้งหาย ... เป็น ตัวแทนหญิงสาวที่ถูกกดขี่ข่มเหงทางเพศ เป็นเหมือนแม่บ้านที่ถูกกระทำย่ำยีจากสามีที่พบได้ในสังคมทุกยุคสมัย ผู้ทุกข์ทนกับการมีชีวิตอยู่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเคียดแค้น บางคนทนอยู่ได้ก็ทนอยู่ไป แต่ บางคนที่ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้หนีพ้น เช่น ฮองเฮา ก็จำต้องกัดฟันสู้เหมือนหมาจนตรอก แม้สุดท้ายรู้ทั้งรู้ว่า โอกาสของตัวเองหมดสิ้นลงแล้วเมื่อฮ่องเต้รู้ความจริง แต่สำหรับเธอ มันยังมีทางเลือกอื่นให้กับชีวิตอีกหรือ เมื่ออำนาจไม่มีในมือ เมื่อคนข้างกายอยู่ด้วยความชิงชัง เมื่อคนที่เคยรักกำลังจะจากไป เมื่อตัวเองกำลังถูกทำร้ายให้ตายลงทุกวี่วันองค์รัชทายาทผู้ขลาดเขลา ... เมื่อรู้ว่าจะมีกบฎ สิ่งที่องค์ชายรอง เอ่ยปากออกมาคือ กลัวว่าบิดาจะต้องถูกสังหารด้วยหรือไม่ แต่ ความหวั่นวิตกที่องค์รัชทายาทเอ่ยปากออกมาเป็นสิ่งแรก คือ กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นคนทำ โดยมิได้ห่วงใยสนใจว่า พ่อหรือแม่จะเป็นเช่นไร องค์ชายเล็กหรือ neglected child .. เราอาจเข้าใจว่า neglected child หมายถึง เด็กที่ขาดพ่อ ขาดแม่ ขาดคนดูแล แต่เปล่าเลย คำๆนี้ยังมีความหมายถึง เด็กที่มีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา มีทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกองตรงหน้า มีคนรับใช้มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ หากจะขาดแคลนก็เป็นเพียงสิ่งเดียวและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เด็กคนนี้ ไม่เคยได้รับ นั่นคือ ความรักความห่วงใย
เด็กที่ถูกทอดทิ้งแม้มีคนอยู่เต็มบ้าน เด็กที่พยายามจะเอาใจพ่อแม่และเสนอตัวให้คนเห็นคุณค่า แต่ๆไม่มีใครมองเห็น เพราะในครอบครัวต่างฝ่ายต่างมีแต่เรื่องของตัวเอง พ่อสนแต่อำนาจ แม่รอแต่แก้แค้น พี่มัวเมาในกามารมณ์ องค์ชายเล็กในหนังจึงเติมช่องว่างของหัวใจลงไปด้วย ความริษยาและความเกลียดชัง
...ผลพวงจาก ปฏิกิริยาที่คนเกลียดชังกันกระทำต่อกัน ส่งผลให้ ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นทุกคนล้วนต้อง ย่อยยับอัปราจากบาดแผลที่ฟาดฟันทำร้ายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ จนไม่มีโอสถใดจะสามารถบรรเทา หลงเหลือเพียงความว่างเปล่าบนโต๊ะอาหารที่ไร้คนร่วมดื่มกิน
สุดท้ายแล้ว สีทองรอบกายในหนังก็มีคุณค่าแค่ผงธุลีดิน
...หนังหรือนิยายที่เล่าโศกนาฎกรรมในวังหลวง ไม่ว่าจะฝั่งตะวันออกหรือตะวันตกอย่าง แฮมเล็ต หรือ The Banquet มักมีความซับซ้อนแค่ความสัมพันธ์สามเส้าระหว่าง ฮ่องเต้(ราชา) ฮองเฮา(ราชินี) และ ลูกเลี้ยง แล้วผูกความสัมพันธ์ไว้กับเรื่องของ การช่วงชิงอำนาจ
แต่ Curse ของ ป๋าจางอี้โหมว ผูกโยงห่วงโซ่ความสัมพันธ์ซับซ้อนมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งของสามีภรรยา + ความอิจฉาริษยาของลูกๆ + ความสัมพันธ์ทางเพศในสายเลือด + รักสามเส้า(พ่อ – แม่เลี้ยง- ลูกเลี้ยง) กับ ( องค์ชายใหญ่ – ฮองเฮา – ลูกหมอหลวง) + แค้นสามเส้า (ฮ่องเต้ + เมียเก่า + เมียปัจจุบัน) การแก่งแย่งชิงอำนาจ , ความรุนแรงในครอบครัว , เด็กถูกทอดทิ้ง ฯลฯ
ผมชอบที่บทหนังแสดงให้เห็นถึงว่า จุดเริ่มต้นแค่ความขัดแย้งของคนสองคน(สามี-ภรรยา) แล้วปล่อยให้ความเกลียดชังลุกลาม มันสามารถส่งผลกระทบต่อเป็นทอดๆและโยงใยไปกัดกร่อนโครงสร้างของทั้งครอบครัวอย่างไร เหมือน บ้านหลังหนึ่งที่เราเห็นปลวกขึ้นหนึ่งเสา เราก็นึกว่า “ช่างมัน คงไม่เป็นอะไร” วันที่เราจะรู้ตัวอีกทีว่าปลวกนี้ร้ายกาจแค่ไหน ก็คือ วันทีบ้านทั้งหลังพังครืนลงมาโดยไม่มีใครจะซ่อมแซมมันได้ทัน
นอกจากนี้บทที่ทำให้เราได้เห็นที่มาที่ไปของตัวละคร มันทำให้ตัวละครเหล่านั้นมีมิติ มีแรงจูงใจ(motives) ที่ทำให้เราเข้าใจได้ว่า เพราะอะไรพวกเขาจึงตัดสินใจกระทำเช่นนั้น
และผมก็ทั้งชอบทั้งชังความอึดอัดที่จางอี้โหมว ฉุดเรื่องราวในหนังให้มืดหม่นเสื่อมโทรมลงทุกนาทีที่หนังดำเนินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ incest , ผัวฆ่าเมีย , เมียฆ่าผัว , พ่อฆ่าลูก , ลูกฆ่าพ่อ , พี่น้องฆ่ากัน ฯลฯ จนทำให้ยิ่งดูยิ่งหดหู่ ยิ่งดูยิ่งหนักอึ้ง จนอยากจะออกจากโรงทั้งที่หนังยังไม่จบแต่มันก็ชวนติดตามว่าจางอี้โหมว จะทำแผลของครอบครัวนี้ให้เละได้ถึงขนาดไหน และ บทสรุปจะคลี่คลายอย่างไร
งานโปรดักชั่นในหนังเข้าขั้นเทพ ความสวยอลังการเกินเหตุของฉากสีทองทั้งหลายแหล่ในวังบวกกับเหลื่อมลายสีรุ้งสารพัด ทำให้ในตอนแรกๆผมรู้สึกสงสัยว่าสมัยก่อนเป็นเช่นนี้จริงๆหรือ ยังมี รายละเอียดขนาดเล็บประดิษฐ์ที่เพ้นท์ซะเช้งวับ , เครื่องแต่งการที่สามารถทับคนใส่หนักตายก่อนจะออกรบ , ท่ากินยาสุดเท่ ฯลฯ
ภาพลักษณ์ภายนอกที่ไม่ใช่ตัวบุคคลเหล่านี้ ล้วนเป็นความงามประดิษฐ์เกินจริง ที่ตรงข้ามกับ ตัวคน ในหนังเสียเหลือเกิน ที่ทั้งชั่วร้าย เหี้ยมโหด และ เปรอะเปื้อนด้วยเลือดเต็มสองมือ
ความเว่อร์อลังการงานสร้างเช่นนี้ เมื่อถึงตอนท้ายเราจะพบว่า มันถูกสร้างขึ้นมาตอบโจทย์ของหนังได้อย่างเหมาะสม กับการสร้างความแตกต่างให้เห็นชัดว่า
ภาพภายนอกที่งดงามยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ได้มีความหมายใดๆเลย เพราะ ความสวยงามดูดีภายนอกนั้น ใครๆก็สร้างได้ มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อได้ แต่ ความสุขนั้นซื้อไม่ได้แม้เจ้าของบ้านจะยิ่งใหญ่ล้นฟ้าเพียงใด
....ด้วยเหตุนี้ แม้เสียงวิจารณ์จากฝรั่งมังค่าจะออกมาไม่ดีนัก และ เพื่อนๆหลายคนที่ไปดูมาบอกว่า "ผิดหวัง" ผมจึงยั้งๆความคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้บ้าง ผลที่ออกมากลับเป็นตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ เพราะผมชอบหนังของจางอี้โหมวเรื่องนี้มาก (อาจไม่เท่า Hero หรือ The Road home แต่แน่นอนว่า มากกว่า บ้านมีดบิน )
นอกจากบท ฮองเฮา ที่น่าสงสารที่สุดแล้ว บทองค์ชายรองก็ถูกสร้างให้น่าสงสารไม่แพ้กัน เพราะเป็นตัวละครตัวเดียวที่หลงเหลือ ความเป็นคนอยู่มากที่สุด แต่ก็จำต้องเลือกข้างในตอนท้ายเพราะ ความรักแม่ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ต่างจากคนอื่นที่หวังจะช่วงชิงอำนาจหรือเสาะแสวงหาความสุขส่วนตัว
และจะว่าไปไม่ใช่แค่บทนี้ที่น่าสงสาร เจ โชเจ้าของบทนี้ก็น่าสงสารไม่แพ้กัน กับการต้องมาประกับกับกลุ่มนักแสดงในหนังที่ล้วนเขี้ยวลากดิน จึงทำให้ เจ โชว์ ขวัญใจใครหลายคนต้องอาศัยความเท่เอาตัวรอดไปอย่างฉิวเฉียด เพราะหลายฉากแทบถูกการแสดงของ กงลี่ หรือ โจวเหวินฟะ ฆ่าตายกลางจอ
กงลี่ ดูสง่าน่าสงสารกับชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานแต่ก็ยังเย้ายวน มาดนางพญาของเธอในยุคนี้คงยากจะหาใครจะเทียบรัศมีได้ (แค่ท่ากินยาก็กินขาด ท่าประสาทจะกินเพราะพิษก็สุดยอด ดูกงลี่เรื่องนี้ให้อารมณ์สูสีป้าเมอรีล สตรีพ ใน The devil wears prada ที่แค่ปรายตาก็ฆ่าคนได้) แม้เธอแจ้งเกิดในฮอลลีวูดตีคู่ตามหลังดวงดาวที่สาวกว่าอย่างจางซียี่ แต่ดูเหมือนว่า จางซียี่กำลังจะถูกไล่แซงด้วยฝีมือและพลังดาราของกงลี่ที่เปล่งปลั่ง ชนิดว่า เราสามารถเห็นภาพกงลี่ทาบทับในบทเดียวกันอย่างบทฮองเฮาในอุดมคติที่จางซียี่ใน The Banquet พยายามจะเป็น หรือการกลบรัศมีจางซียี่แทบทุกครั้งเมื่ออยู่ร่วมจอกันใน Memoirs of a Geisha
ส่วนโจวเหวินฟะ เริ่มต้นมาฮอลลีวูดแบบผิดที่ผิดเวลา น่าเสียดายความสามารถของเขาเป็นอย่างยิ่งที่ถูกฮอลลีวูดทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ศักยภาพของเขาถูกลดทอนจากการเลือกเล่นหนังผิดๆ อาทิเช่น ไปเปิดตัวเรื่องแรกกับหนังไม่ได้เรื่องได้ราวอย่าง The Replacement Killers ไปเสียเวลากับหนังอย่าง Bulletproof Monk จนน่าจะเรียกได้ว่า นับตั้งแต่ออกจากเกาะฮ่องกงมาก็ดูเหมือนจะมีเรื่องนี้ ที่ทำให้เขาได้แสดงพลังแท้จริงของตัวเองเต็มๆอีกครั้ง เขาสามารถแสดงบารมีและรัศมีของฮ่องเต้ที่ทั้งโฉดและทรงอำนาจ ก่อนจะบ้าคลั่งเมื่อความฝันที่ฝากไว้กับลูกชายย่อยยับลงต่อหน้าต่อตา ฉากตีลูกตอนท้ายเขาแสดงออกมาได้อย่างน่าเวทนาแต่เราก็สงสารไม่ลงเมื่อคิดถึงสิ่งที่บทของเขากระทำ
นักแสดงสมทบทุกคนในหนังก็ฝากฝีไม้ลายมือที่เฉียบขาดไม่แพ้กัน เช่น หลิวเหย่กับบทองค์ชายรัชทายาทก็ดูขลาดเขลาและอ่อนแอ หรือ หลี่มันในบทคนรักสาวลูกหมอหลวงก็ดูอินโนเซนท์และสติแตกได้น่าสงสารได้ใจคนดู เรียกได้ว่า เวลาประชันกันบนจอไม่มีใครข่มใครได้ลง ซึ่งในส่วนนี้เครดิตก็ต้องยกให้ จางอี้โหมว ที่กำกับการแสดงได้อย่างเยี่ยมยอด
ถึงจะมีฉากแอคชั่นในหนังไม่กี่ฉากแค่พอเป็นน้ำจิ้ม แต่ ฉากเหล่านั้นก็แสดงถึงการกำกับภาพและโชว์มุมกล้องในระดับชั้นอ๋อง เช่น ฉากทัพกบฏดอกเบญจมาศบุกวังหลวงก่อนถูกกำแพงบดขยี้ ดูยิ่งใหญ่ คึกคัก และ หดหู่ยิ่งนัก หรือจะเป็น ฉากไล่ล่าจากทีมสังหารชุดดำก็ทำออกมาได้ตื่นเต้นระทึกใจ
สิ่งที่ชอบ1.กงลี่ ... เมื่อเธออยู่ในจอ จุดอ่อนทั้งหลายในหนังก็ถูกลืม2.โจวเหวินฟะ ... เมื่อเขาอยู่ในจอ จุดอ่อนทั้งหลายในหนังก็ถูกลืม3.งานโปรดักชั่น ... อลังการ ตระการตา โอ้วว้าว4.สถาบันครอบครัว ... ชอบการพูดถึงสถาบันครอบครัวของหนังเรื่องนี้ที่นำเสนอได้มืดหม่นตรงข้ามกับความสว่างไสวขององค์ประกอบรายรอบดีแท้สิ่งที่ไม่ชอบ1.คอสตูม ดูมดูม ... ชอบดูแต่ไม่ชอบตอนอยู่ในหนัง เหตุผลของจางอี้โหมวต้องการเน้นตัณหาราคะในวังหลวงและให้ดูเย้ายวน แต่มันกลับเป็นส่วนโดดของหนังมากตั้งแต่หนังตัวอย่างแล้ว ที่คนดูต้องสะดุดตากับ ดูมๆที่ถูกดันเน้นมาทะลักล้น และ ไม่น่าแปลกใจตอนดูอยู่ในโรง เราถึงจะได้ยินเสียงซุบซิบหัวเราะเบาๆเวลาเห็นตัวละครนางสนมในคอสตูมดูมดูมเช่นนี้ ดึงดูดสมาธิคนดูออกจากสาระในจอ
สรุป ... อาจทำให้ใครต่อใครผิดหวัง หากคิดว่าจะพบฉากแอคชั่นตื่นตาตื่นใจ จะพบปรัชญายิ่งใหญ่แบบ Hero หรือพบฉากวาบหวามวาบหวิวเมื่อพิจารณาจากโปสเตอร์และหนังตัวอย่างที่เน้น ดูม ดูม เสียเหลือเกิน เพราะนี่เป็นหนังที่พูดถึงแค่ เรื่องราวภายในครอบครัวหนึ่งเท่านั้นเอง ครอบครัวที่อาศัยในพระราชวังหลังใหญ่โต ดอกเบญจมาศบานสะพรั่งพื้นดิน มีทองคำหล่อล้อมทั่วตัว ซึ่งก็ไม่อาจบดบังหรือชดเชย ความดำมืดในจิตใจที่มีทั้งความเกลียดชัง ความริษยา ความแค้น ความทะเยอทะยาน กัดกร่อนครอบครัวและความเป็นคน