หมวดหมู่ :
หนังตลก
,
หนังครอบครัว
,
หนังโรแมนติก
เรื่องย่อ : Father of the Bride Part Il พ่อตา จ.จุ้น 2 (1995)
ชื่อภาพยนตร์ : Father of the Bride Part Il พ่อตา จ.จุ้น 2
แนว/ประเภท : Comedy, Family, Romance
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Charles Shyer
บทภาพยนตร์ : Albert Hackett, Frances Goodrich
นักแสดง : Steve Martin, Diane Keaton, Martin Short
วันที่ออกฉาย : 8 December 1995
จอร์จ (สตีฟ คีตัน) และ ลีน่า (ไดอะนา คีตัน) แบงค์ส ได้รับข่าวดีจากลูกสาวว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ทั้งสองจึงต้องเตรียมตัวสำหรับการเป็นตายาย แต่ความวุ่นวายกลับไม่ได้อยู่แค่การที่พวกเขากำลังจะได้หลานเท่านั้น!
IMDB : tt0113041
คะแนน : 6
รับชม : 478 ครั้ง
เล่น : 88 ครั้ง
Father of the Bride Part Il พ่อตา จ.จุ้น 2
ปี 1950 มีหนังเรื่อง Father of The Bride ออกมา ใช่ครับ หนังเรื่อง Father of the Bride ปี 1991 ก็เป็นฉบับรีเมค และในปี 1951 มีหนังเรื่อง Father’s Little Dividend ออกมา ใช่อีกแล้วครับ มันคือภาค 2 ของ Father ปี 50 นั่นแหละ แต่กับภาค 2 ที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้ไม่ใช่งานรีเมค Father’s Little Dividend หรอกนะครับ แต่เป็นภาคต่อจาก Father ปี 90 น่ะ
หลังจากภาคแรกผมชอบสุดๆ ไปแล้ว ก็มีตอนต่อออกมานะครับ เรื่องราวในตอนนี้ จอร์จ แบงค์ส (Steve Martin) กลับมาอีกครั้ง คราวก่อนเขาได้ลูกเขย พอคราวนี้ เขาได้หลานครับ เพราะแอนนี่ (Kimberly Williams) ตั้งครรภ์แล้ว และขณะเดียวกัน นีน่า (Diane Keaton) เมียรักของเขาก็ดันตั้งท้องอีกเช่นกัน งวดนี้เขาเลยได้เป็นทั้งพ่อและตาในเวลาเดียวกันเลย แล้วแน่นอนล่ะครับ เรื่องวุ่นๆ มันก็ตามมาอีกจนได้
นี่เป็นภาคต่อที่คงบรรยากาศความเป็น Father Of The Bride ได้อย่างครบถ้วนครับ ดาราหน้าเก่ามากันครบ ไม่ว่าจะ Kieran Culkin ในบทแม็ตตี้ ลูกชายคนเล็กของจอร์จ, George Newbern ในบทไบรอัน แม็คเคนซี่ ลูกเขยของจอร์จ หรือแม้แต่สองนักจัดงานแต๋วจากภาคแรกที่แสดงโดย Martin Short กับ B.D. Wong ก็ตามมาฮากับเขาด้วยครับ เรียกว่าดาราชุดเดิมไม่มีเปลี่ยนซักราย
นอกจากนี้บ้านก็หลังเดิม แต่เปลี่ยนเหตุการณ์ใหม่ ทว่ามันก็ยังวุ่นตามเคย หนังยังเรียกเสียงฮาได้อย่างดีครับ ความประทับใจก็พอสมควร โดยเฉพาะคนที่ดูภาคแรกมาแล้วก็จะสนุกกับภาคนี้ได้อย่างดี เพราะมันคุ้นเคยอ้ะ เหมือนได้ดูเหตุการณ์ต่อมาของครอบครัวแบงค์สที่เราผูกพันไปแล้วตั้งแต่ตอนก่อนน่ะครับ
แม้ว่าเรื่องราวมันจะไม่สุดยอดเท่าภาคแรก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหนังไม่ดีนะครับ เพียงแต่ ภาคนี้มันจะเน้นฮามากกว่า แม้ดนตรีกับเพลงประกอบจากฝีมือของ Alan Silvestri จะยังโคตรดีอยู่ก็ตาม แต่เนื้อหา อย่างที่บอกครับ เน้นฮา ประเด็นที่หนังพอจะจับมาเป็นสาระบ้างก็คือเรื่องเกี่ยวกับ วิกฤติวัยกลางคน (Midlife Crisis) หรือ ช่วงชายวัยหมดประจำเดือน (คำนี้ยืมอาตีตั๋วมานะครับ) ที่มาเกิดขึ้นกับ จอร์จพอดี คิดดูครับ ขนาดยังไม่วิกฤติ ลุงแกยังแทบบ้าแล้วนี่ถึงช่วงวัยทองแบบเนี้ย จะเป็นยังไง ไหนจะเมียท้อง ไหนจะลูกท้อง แล้วตัวเองยังอายุตั้งจะห้าสิบแล้วเนี่ย ลูกดันเพิ่งมา (โคตรม้ามืดเลยว่ามั้ยครับ) ซึ่งหนังก็มีประเด็นนี้แหละที่พอจะเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ไม่เน้นหนักอะไร เหมือนเป็นการปูเรื่องให้จอร์จทำอะไรเพี้ยนๆ มากกว่า
ซึ่งภาคนี้ผมว่าจอร์จก็ Midlife Crisis มากจริงๆ ล่ะครับ เพราะพี่ท่านพยายามทำตัวให้หนุ่มขึ้น แล้วก็พยายามสร้างความแปลกใหม่ให้ชีวิตโดยการขายบ้านไปซะ (ซึ่งแน่นอนว่าโดนทั้งบ้านรุมทันทีครับ โทษฐานขายโดยไม่ยอมบอกกล่าวใดๆ) รวมไปถึงการฟิตการฮึดจนได้ลูกคนที่สามออกมานี่แหละ ซึ่งไอ้อะไรพวกนี้เหมือนจะเอื้อให้หนังฮามากกว่าครับ แล้วก็เหมือนจะพุ่งเรื่องไปที่จอร์จมากกว่าใคร ในขณะที่ภาคแรกมันจะมีเรื่องครอบครัว เรื่องความผูกพันเข้ามาร่วมด้วย อีกทั้งบทก็มีการเกลี่ยจนทั่วถึงครบทุกคน
แต่ไม่ว่าจะยังไง ลุง Steve ก็ยังสุดยอดและน่าคารวะครับ ยังเล่นได้ฮาและน่ารักตามเคย ไอ้พวกมุขยึกยักหรือพอไม่เห็นด้วยก็ออกอาการทางสีหน้านี่ยังไงก็ฮาครับ แต่พอถึงช่วงที่เขามองหน้าลูกๆ หรือเมียรัก สายตาเขาก็สามารถปรับมาเป็นความอ่อนโยนได้อย่างเป็นธรรมชาติ แหม เรื่องการแสดงของลุงเขาคงไม่ต้องว่าอะไรกันให้มากแล้วล่ะครับ คนบ้าอะไรฟะ แสดงบทพ่อได้เฉียบขาดขนาดนั้นน่ะ
แต่อีกรายที่มาแจมความฮาอย่างมากในตอนท้ายก็คือ Martin Short นักจัดงานแต๋วคนนั้นน่ะแหละครับ ไปๆ มาๆ เขาผูกพันกับครอบครัวแบงค์สไปโดยปริยาย เพราะช่วงท้ายตอนสองแม่ลูกจะคลอดก็ยังอุตส่าห์ตามมาส่งถึงโรงพยาบาลแล้วก็ช่วยดูแลอีกต่างหาก ซึ่ง Short เล่นได้ดีครับ ไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินแต่อย่างใด แต่ก็นั่นแหละ แม้เขาจะไม่ได้เป็นส่วนเกิน แต่ก็ทำให้ความเด่นของบทจอร์จ แบงค์สลดลงไปเหมือนกันครับ ไม่เหมือนภาคแรกที่ตอนท้ายหนังจะเล่นกับความรู้สึกของจอร์จแบบเพียวๆ … แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายหนังครับ อย่างน้อยมันก็ฮาน่ะ เพียงแต่จะไม่ลึกซึ้งเท่าตอนแรกเท่านั้นเอง
แต่ผมก็ยังชอบหนังเรื่องนี้ครับ ตั้งแต่ฉากแรกที่เปิดตัวด้วยภาพบ้านตระกูลแบงค์ส แล้วกล้องก็ค่อยๆ ซูมไปที่ข้าวของแต่ละชิ้น รูปถ่ายแต่ละใบ พร้อมทั้งมีเพลงเยี่ยมๆ อย่าง Give me The Simple life เปิดคลอไป ตามด้วยหนังที่มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนอย่างเคยครับ แล้วในตอนจบครับ … ฉากจบ เป็นการสรุปปิดหนังชุดนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะกับคำถามที่ว่า แล้วจอร์จจะทำอะไรต่อไปหลังจากแอนนี่แต่งงานไปแล้ว .. เราจะได้รับคำตอบครับ มันจบได้มีความหมายนะ แล้วฉากที่ว่านี้ลุง Steve แกก็ยังเล่นได้เฉียบขาดตามเคย
สรุปว่าหนังเรื่องนี้ผมก็ยังชอบนะครับ ด้วยบรรยากาศต่างๆ ที่ดีและนักแสดงที่ยอดเยี่ยมตามเคย แต่ในส่วนของเรื่องราวมันอาจจะไม่ได้จับใจเท่าภาคแรก มันเหมือนไกลตัวด้วยส่วนหนึ่งล่ะครับ ภาคแรกมันเล่นเรื่องพ่อคน เรื่องครอบครัว เรื่องความรักและการแต่งงาน แต่ภาคนี้มันเน้นความวุ่นวายอันเกิดในช่วง Midlife Crisis ซึ่งมันอาจจะไม่ลึกและไกลตัวอยู่บ้างน่ะ
ก็เป็นหนังครอบครัวภาคต่อที่ทำได้ดีครับ