หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังสงคราม
เรื่องย่อ : The Deer Hunter เดอะ เดียร์ ฮันเตอร์ (1978)
IMDB : tt0077416
คะแนน : 8.1
รับชม : 2448 ครั้ง
เล่น : 680 ครั้ง
ได้ดูมานานแล้ว และก็ได้ดูอีกเมื่อมีการปรับปรุงภาพในดีวีดีให้สีสันดีขึ้น จากเดิมที่สีตุ่น ๆ มัว ๆ เลยทำให้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นมาบ้าง ดีขึ้นมาบ้างอย่างนั้นหรือ !
ไม่ถึงกับชอบหนังเรื่องนี้ ผมค่อนข้างเบื่อเอาเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในช่วงแรกของหนัง ประมาณ ๔๐ นาทีแรก ที่เสนอภาพของหนุ่มโรงงานเหล็ก ที่ในเวลาอันใกล้อยู่รอมร่อ จะต้องไปเป็นทหารในสงครามเวียดนาม หนังเสนอภาพของความสรวญเสเฮฮาอย่างเต็มที่ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า หนังพยายามสร้างให้คนดูเห็นถึงโลกของ ไมเคิล นิค และสตีฟ ก่อนที่โลกของเขาทั้งสามจะเปลี่ยนไป..ในทางเลว
ที่ไม่ชอบก็คือภาษาภาพของหนังเรื่องนี้ มันเต็มไปด้วยความอึดอัด ตั้งแต่เปิดฉากแรกมาด้วยภาพของโรงงานเหล็กในพิตส์เบิร์ก อันเป็นเมืองที่ดูแล้วไม่น่าอยู่เอาเสียเลย เพราะมีแต่โรงงาน ๆ ๆ ตัวละครทุกตัวในเรื่อง ไม่ว่าจะไมเคิล นิค หรือสตีฟ และคนอื่น ๆ "ทุกคน" โหวกเหวกโวยวาย ทำอะไรห่าม ๆ ตลอดเวลา เป็นเสียงของความเอะอะเอ็ดตะโรไปเสียแทบจะทั้งชุมชน ภาพของงานแต่งงาน ภาพของการอวยชัยให้พรแด่ผู้ที่กำลังจะไปสู่สมรภูมิ ภาพของความเมาหยำเป ภาพของเพื่อน ทั้งในบาร์ ทั้งในบ้าน ทั้งการไปล่ากวาง ที่พูด ๆ ๆ ๆ เมา ๆ ๆ ๆ ตลอด ๔๐ นาที
หนังเรื่องนี้เป็นหนังยอดเยี่ยมในปี ๑๙๗๘ ของผู้กำกับไมเคิล ชิมิโน่ (Michael Cimino) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ แต่พอประสบความสำเร็จกับหนังเรื่องนี้แล้ว หนังเรื่องต่อไปคือ Heaven's Gate ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และทำให้ชื่อของเขาเลือนหายไปจนปัจจุบัน ผมพอจะทำความเข้าใจได้ว่า หนังพยายามเสนอภาพของโลกสองโลก ความไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย แต่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ ต่างกับเวียดนาม ที่ดูเหมือนจะมีท้องฟ้าสีสดใส แม้น้ำที่ไหลเย็น แต่เป็นแม่น้ำที่ทหารจีไอ ถูกขังกรงแช่น้ำทรมาน แต่ว่า "ซาวด์" หรือเสียงของหนังเรื่องนี้ มันเสียดหูอยู่ตลอดเวลา ภาพของงานเลี้ยง งานสังสรรค์ ที่เป็นภาพมุมกว้าง แต่อัดแน่นไปด้วยผู้คน คน และคน !!!
แต่ด้วยเนื้อหาที่แรง ตรงประเด็น และกินใจในตอนท้าย จึงไม่แปลกใจที่ความแรงของหนังเรื่องนี้ ทำให้ได้รางวัลในที่สุด เป็นหนังที่ดี ควรค่าแก่การดู แต่ไม่ใช่หนังสวย ไม่ใช่หนังที่ดูได้หลายครั้งบ่อย ๆ จึงเป็นหนังที่ไม่ได้อยู่ในดวงใจของผม
ฉากที่ระบือลือลั่นว่า "แรง" หลายคนคงทราบแล้วว่าคือ การเล่นรัสเชี่ยน รูเล็ตต์ ซึ่งในหนังมีอยู่ด้วยกัน ๓ ตอน โดยเฉพาะฉากที่พวกเวียดกง จับเอาเชลยมานั่งเล่นกันทีละ ๒ คน ผลัดกันเป่าหัวตัวเองคนละนัด เพื่อให้พวกเวียดกงเล่นพนันกัน เป็นฉากที่คริสโตเฟอร์ วอลเค็น และจอห์น ซาวาจ เล่นได้ดีมาก ๆ และเป็นฉากที่กดดันอารมณ์อย่างขีดสุด ผมว่าทุกคนที่ดู คงจินตนาการถึงตัวเอง ว่าถ้าโดนกับตัวเองเข้าบ้างจะเป็นอย่างไร
ไมเคิล (โรเบิร์ต เดอ นีโร) เป็นคนที่มีสติมากกว่าเพื่อน จึงพาเพื่อนรอดจากเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมาได้ และดูจะเป็นผู้เป็นคนมากที่สุด แต่นิค (คริสโตเฟอร์ วอลเค็น) ดูจะเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะเป็นคนที่ "เสียคน" มากที่สุด แต่ก็กลับไม่แยแสกับความตายอีกต่อไป จนพบจุดจบในรัสเซี่ยน รูเล็ตต์ ที่เขาเข้าไปเองในตอนหลัง
ไมเคิลนั้นชอบล่ากวางเป็นที่สุด ก่อนออกสงครามเขากับเพื่อนออกล่ากวางกันที่ภูเขา หลังจากความเลวร้ายที่เวียดนามแล้ว เขาก็มาล่ากวางอีก มีความต่างกันอยู่ระหว่างการล่าทั้ง ๒ ครั้งนั้น แต่ที่เหมือนกันก็คือ ทั้งสองครั้งก็เป็นการล่า ที่ผู้ถูกล่าไม่มีทางที่จะเอาคืน นอกจากหลบหนีให้ทัน ดูเหมือนจะเป็นเกมกีฬาที่น่าศิวิไลซ์ของมนุษย์เสียนี่กระไร แต่เมื่อมนุษย์ล่ากัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นสัตว์นรกของอีกฝ่ายหนึ่ง !!
เกือบลืมไป ดนตรีประกอบตอนต้นเรื่อง และอีกหลายครั้งในเรื่อง ที่ไพเราะจากกีตาร์คลาสสิก เป็นเพลงที่แต่งโดย Stanley Myers ชื่อเพลง Cavatina ซึ่งเป็นเพลงที่ซึ้งมาก ราวกับเขาจะบอกว่า นี่ไม่ใช่หนังสงครามนะ นี่เป็นหนังต่อต้านสงครามต่างหาก และนี่คือหนังชีวิต