แม้ Halloween: Resurrection (2002) จะไม่ค่อยได้รับคำชมสักเท่าไร (จริงๆ คือหนังโดนถล่มเลยล่ะครับ 555) แต่ในแง่รายได้แล้วหนังยังทำกำไรบ้างครับ โดยทำเงินไป $37 ล้านจากทั่วโลก ในขณะที่ทุนสร้างนั้นไม่ถึง $15 ล้าน จึงทำให้ทีมผู้สร้างมีแผนจะทำภาค 9 ตามออกมาในชื่อ Halloween: Retribution โดยจะมีดาราสาวอย่าง Lindy Booth แสดงนำ
แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คิดฝันเมื่อ Moustapha Akkad ที่อำนวยการสร้างหนังชุดนี้มาตลอดทั้ง 8 ภาค เสียชีวิตในเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโดยพวกอัลเคดาห์ เมื่อปี 2005 ทำให้ทีมงานตัดสินใจหยุดสร้างหนังชุดนี้ชั่วคราวเพื่อไว้อาลัย
และไม่ใช่เฉพาะทีมงาน Halloween เท่านั้นครับ แต่ยังมีอีกหลายกองถ่ายทีเดียวที่งดทำ “หนังเชือด” ชั่วคราว เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับ Akkad
เวลาล่วงเลยมาถึงปี 2006 ก็มีข่าวลือออกมาว่าโปรเจคท์หนัง Halloween กำลังจะเดินต่อในชื่อ Halloween: The Missing Years อันจะเป็นการย้อนไปเล่าเหตุการณ์สมัยช่วงแรกๆ ที่ไมเคิล ไมเยอร์สไปอยู่ที่โรงพยาบาลโรคจิต ว่าง่ายๆ คือเป็นภาคก่อนหน้านั่นเองครับ และยังมีข่าวลือว่าทีมงานทาบทามให้ Oliver Stone กำกับด้วย (แต่สุดท้ายเขาก็ไปทำ World Trade Center แทน)
นอกจากนี้ทางบริษัทผู้สร้างยังมีไอเดียที่จะเอาพี่ไมเคิลไปเจอกับพี่พินเฮดจากหนังชุด Hellraiser ด้วย (เนื่องจากตอนนั้น Freddy Vs. Jason ทำเงินไปกว่า $80 ล้าน) แล้วพวกเขาก็เลยลองทำโพลสำรวจดูการตอบรับ ปรากฏว่าแฟนๆ พากันส่ายหน้าครับ เลยทำให้โปรเจคท์นี้ล่มไป
จากนั้น Rob Zombie ก็ก้าวเข้ามาครับ โดยเขานั้นประกาศตัวว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้หนัง Halloween และสนใจอย่างมากที่จะมาทำ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจนั้นเขาก็เดินทางไปหา John Carpenter ผู้ให้กำเนิดหนังชุด Halloween เพื่อขออนุญาตมารับช่วงทำหนังเรื่องนี้ (ประมาณว่าเป็นการแสดงความเคารพน่ะครับ) และ Carpenter ก็ยินดี พร้อมทั้งแนะนำให้ Zombie ทำ Halloween ออกมาในแบบฉบับของตัวเองได้เลย
แล้ว Zombie ก็ตัดสินใจทำออกมาแบบ Remake + Reimagine ครับ
โดยหลักแล้วเนื้อหามันคือการเอาภาคแรกมารีเมค แต่จะมีการเสริมเพิ่มเรื่องราวต่างๆ ให้เราเห็นมิติของไมเคิล ไมเยอร์สชัดเจนขึ้น คือเราจะเห็นไมเคิลตั้งแต่เด็กๆ เห็นว่าครอบครัวของเขานั้นเหลวแหลกแค่ไหน ซึ่งดูแล้วก็อดอนาถใจไม่ได้ครับ เพราะครอบครัวและคนรอบตัวของไมเคิลมีแต่พวกแย่ๆ ทั้งนั้น (บางคนนี่ถึงขั้นสวะสังคมเลยก็ว่าได้) มันเลยไม่แปลกครับที่สุดท้ายไมเคิลจะกลายเป็นคนที่อัดแน่นไปด้วยความรุนแรง อยู่โดยไร้กติกาถูกผิด และมีความอำมหิตผิดมนุษย์ถึงเพียงนี้
หนังยาว 2 ชั่วโมงครับ ถือเป็น Halloween ภาคที่ยาวที่สุด โดยชั่วโมงแรกหนังใช้ไปกับการเล่าชีวิตวัยเด็กของไมเคิล ไปจนถึงคืนฆาตกรรม และการมาอยู่ในสถานบำบัดจิต จากนั้นครึ่งหลังหนังก็จะพาเรากลับมาที่แฮดดอนฟิลด์ อิลลินอยส์ ในคืนฮาโลวันสยอง ที่ไมเคิลหนีมาเพื่อไล่ฆ่าคน โดยเฉพาะหญิงสาวที่ชื่อ ลอรี่ สโตรด (Scout Taylor-Compton)
หนังภาคนี้โหดเลยล่ะครับ โหดหนักหน่วง แน่นไปด้วยความรุนแรงจนไม่น่าแปลกใจที่จะมีการแบนในหลายประเทศ มันแรงทั้งในแง่ฉากการฆ่าและบรรยากาศของแต่ละเหตุการณ์น่ะครับ อย่างการเห็นไมเคิลวัยเด็กฆ่าคนนี่ก็ชวนให้หดหู่และรู้สึกสยองได้อย่างมาก ไหนจะสภาพแวดล้อมครอบครัวไมเยอร์สที่เลวร้ายสุดๆ มันเลยทำให้หนังมีทั้งความกดดัน ความสลดหดหู่ และความสยดสยองครับ
ถ้าพูดถึงความตั้งใจของ Zombie ที่จะทำให้เราเห็นที่มาของไมเคิลมากขึ้น ก็ถือว่าหนังทำสำเร็จครับ หนังทำให้เราเข้าใจแบบเต็มๆ เลยว่าไมเคิลนั้นเจอเรื่องร้ายมามากแค่ไหน จนไมเคิลต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่กัดคนไม่เลือก ก็ลองว่าโดนทำร้ายขนาดนี้ และอยู่แต่กับความโหดขนาดนี้ มันก็ไม่แปลกล่ะครับที่เขาจะกลายเป็นสัตว์ร้ายโหดระดับนรกแตกแบบนี้
ในแง่ความน่าติดตามก็ถือว่าไม่เลวครับ ช่วงแรกก็เล่าเรื่องของไมเคิล มาช่วงหลังก็เล่าให้เห็นว่าไมเคิลฆ่าคนไปขนาดไหน โดยส่วนตัวผมว่าครึ่งแรกดูน่าสนใจดี ในขณะที่ครึ่งหลังนั้นมันรู้สึกผสมๆ กัน บางจังหวะก็โอเค แต่บางอย่างก็ไม่โอเคนัก
ที่ผมชอบในช่วงครึ่งหลังก็คือครอบครัวของลอรี่น่ะครับ โดยเฉพาะตัวละครแม่ของลอรี่ (Dee Wallace) ที่น่ารักและอ่อนโยนมากๆ บรรยากาศในครอบครัวสโตรดนี่เหมือนเป็นคนละขั้วกับครอบครัวไมเยอร์เลย ก็ทำให้สลดใจไม่น้อยครับเพราะใจก็รู้อยู่ว่าเดี๋ยวครอบครัวนี้จะต้องเจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน
สำหรับในส่วนของตัวละครอื่นๆ อย่างเพื่อนๆ ของลอรี่นั้น อาจเพราะหนังภาคนี้ใช้เวลาเน้นที่ตัวไมเคิลตั้งหนึ่งชั่วโมง เลยทำให้เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าลอรี่และเพื่อนๆ เป็นตัวประกอบน่ะครับ เหมือนตัวเอกคือไมเคิล แล้วคนอื่นๆ คือเหยื่อที่มาเพื่อรองรับความโหดร้ายของไมเคิล ซึ่งจะต่างจากภาคต้นฉบับที่ลอรี่คือตัวหลักแต่แรก และหนังก็แนะนำเธอกับเพื่อนๆ จนเราเริ่มคุ้นเคย ส่วนไมเคิลคือฆาตกรที่ย่องมาฆ่าเธอกับเพื่อนๆ ในคืนฮาโลวีน โดยที่เราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับไมเคิลนัก ก็เหมือนจะสลับกันน่ะครับ
และตัวละครทั้งหลายในครึ่งหลังก็ไม่ได้มีมิติอะไรมาก บางตัวละครก็ดูหงุดหงิดจิตหลุดง่ายเกินไป อย่างนายอำเภอ ลี แบร็คเกตต์ (Brad Dourif) ที่ความเจ้าอารมณ์ของเขานี่ก็มีส่วนให้เรื่องมันไปกันใหญ่เหมือนกัน หรือ ดร.แซม ลูมิส (Malcolm McDowell) ก็ดูคุ้มดีคุ้มร้ายยังไงพิกล
ไปๆ มาๆ ผมว่าผมเข้าใจไมเคิลนะ แต่ตัวละครอื่นๆ ผมกลับไม่ใคร่จะเข้าใจสักเท่าไร ว่าทำไมถึงเป็นกันแบบนั้น (555)
หรือหนังจะสะท้อนให้เห็นถึงโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายก็ไม่รู้ ประมาณว่าวัยรุ่นก็เหมือนวัยใสที่ไม่รู้อะไรนอกจากหาเรื่องสนุกทำไปวันๆ ส่วนวัยผู้ใหญ่ก็มีแต่คนหงุดหงิด มีแต่คนที่ไม่น่าไว้ใจ หรือคนที่มีความสับสนในตัวเอง (ยกเว้นแม่ของลอรี่ ที่น่ารักใจดีเหลือเกิน)
และหนึ่งในคนที่มาแสดงเป็นเพื่อนของลอรี่นั้นก็มี Danielle Harris ที่เคยรับบทเจมี่ ลอยด์จาก Halloween ภาค 4 และ 5 มาแสดงด้วยครับ
ในแง่ความสยองของครึ่งหลัง หนังก็จัดเต็มเหมือนเดิมครับ สยองโหดน่ากลัวทีเดียว แต่อารมณ์สยองในเรื่องมันออกแนวโฉ่งฉ่างฮาร์ดร็อค ไม่เหมือนต้นฉบับที่สยองแบบกินบรรยากาศ อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบน่ะนะครับ ถ้าชอบแบบโฉ่งฉ่างก็น่าจะสนุกกับฉบับนี้
โดยรวมแล้ว ความรู้สึกทีผมมีต่อ Halloween ฉบับนี้มันก็ผสมๆ กันครับ ผมชอบเนื้อเรื่องส่วนของไมเคิลที่เล่าได้น่าสนใจดี มันสะท้อนความโหดร้ายของโลกได้ดี ในขณะที่ครึ่งหลังมันก็กลั้วๆ กันไปครับ มีทั้งส่วนที่เข้ากันและไม่เข้ากัน อย่างที่บอกน่ะครับว่าตัวละครในเมืองแฮดดอนฟิลด์มันดูไม่น่าสนใจเท่าตัวพี่ไมเคิลในครึ่งแรก ส่วนฉากการฆ่าก็โหดเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร
ก็ถือว่าหนังไม่ผิดหวังครับ มีความเป็นตัวของตัวเองดีเหมือนกัน เพียงแต่ความน่าสนใจ (และความใหม่) ในครึ่งแรก มันไม่ค่อยเผื่อแผ่มาถึงครึ่งหลังสักเท่าไร เลยทำให้ผมรู้สึกโอเคกับหนังในตอนต้น แต่รู้สึกเรื่อยๆ กับตอนครึ่งหลัง (รู้สึกเหมือนดูหนังเชือดโหดๆ อีกเรื่อง แต่ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร)
ผมว่าฉากที่ไมเคิลตอนเด็กเดินตามเจ้าเด็กตัวแสบที่ชอบแกล้งเขา พร้อมดนตรีธีม Halloween ดังขึ้นมานั่นถือเป็นฉากที่เข้าท่าและมีความเป็น Halloween แบบพอเหมาะและน่าจดจำ (กว่าฉากโหดสารพัดในเรื่อง) ครับ
อย่างไรก็ดีตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ จากทุนสร้าง $15 ล้าน หนังสามารถทำเงินในอเมริกาได้ $58 ล้าน หากรวมทั่วโลกก็จะเป็น $80 ล้าน ทำกำไรจนต้องมีภาคต่อตามออกมาอีกจนได้