ในทีแรกตอนเห็นตัวอย่างเรื่องนี้ก็ต้องขอบอกว่าไม่ค่อยน่าสนใจมากนักสำหรับผม เพราะว่าโดยส่วนตัวไม่ชอบการ์ตูนเจ้ายักษ์เขียว Shrek ในภาคหลังๆมากนัก แต่เนื่องด้วยคำวิจารณ์จากเมืองนอกที่สูงลิบลิ่ว จนทำให้ผมรู้สึกสนใจหนังเรื่องนี้ขึ้นมาทัน และหลังจากได้ดูแล้วก็ต้องขอบอกเลยว่า ‘ไม่ผิดหวังจริงๆ’
Puss In Boots เป็นเรื่องราวก่อนที่เจ้าเหมียวน้อย พุซ จะได้เจอกับเจ้ายักษ์เขียวเชร็ค ซึ่งเรื่องราวนี้จะเป็นตำนานของ พุซ และ รองเท้าบู๊ทส์คู่นั้น เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยที่ พุซ เจ้าแมวเหมียวจอมซ่าส์ที่ยังมีนามว่า เจ้าหัวขโมยแห่งยุค ที่เขาและเพื่อนไข่อย่าง ฮัมป์ดี้ ดัมป์ดี้ คิดจะค้นหาถั่ววิเศษเพื่อนำไปปลูกและไปขโมยไข่ห่านทองคำมาเมื่อนานมาแล้ว ร่วมด้วยเจ้าเหมียวสาวอย่าง คิตตี้ ซอฟท์พอว์ ซึ่งวันหนึ่ง พวกเขาก็ได้ข่าวว่า ถั่ววิเศษ เหล่านั้นได้อยู่ในมือของหัวขโมยร่างยักษ์อย่าง แจ็ค และ จิล ทำให้พวกเขาต้องทำการโจรกรรมถั่ววิเศษครั้งใหญ่ เพื่อที่มันจะได้ไม่ตกอยู่ในมือของคนชั่วอย่าง แจ็คและจิลล์
Puss In Boots กำกับการแสดงโดยผุ้กำกับ คริส มิลเลอร์ หลังจากเคยจับงานอนิเมชั่นเกี่ยวกับเจ้าพุซตัวนี้มาแล้วครั้งนึงใน Shrek The Third ซึ่งหลังจากเจ้ายักษ์เขียวภาคนี้ออกฉาย ก็ได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นยักษ์เขียวภาคที่แย่ที่สุด เพราะฉะนั้น การที่ค่าย Dreamwork ให้เขาแก้ตัวอีกครั้ง จึงเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ และพอหลังจากที่ได้ดู Puss In Boots ก็ต้องบอกได้เลยว่า ผู้กำกับมีความพัฒนาอยู่ในขั้นที่น่าประทับใจมาก เพราะสิ่งแรกที่โดดเด่นที่สุดใน Puss In Boots เลยคือด้านของฉากแอ็คชั่น และ ผจญภัย ที่เรียกได้ว่าด้วยสกอร์หนังของ เฮนรี่ แจ็คแมน พร้อมกับสไตล์ฉากแอ็คชั่นของผู้กำกับ (ใครนึกไม่ออกลองดูใน Shrek The Third) จึงทำให้ 2 สิ่งนี้รวมกันมาแล้วต้องเรียกได้ว่า สมบูรณ์แบบ และ สนุกแบบเกินความคาดหมายได้เลยจริงๆครับ
เพราะฉากผจญภัย แอ็คชั่นเหล่านั้น เต็มไปด้วยฉากฟันดาบ และ ไล่ล่า สไตล์มันส์ๆ ฮาๆ ในรูปแบบอนิเมชั่น ที่ต้องเรียกได้ว่า ผู้กำกับสามารถเลือกใส่ช่วงอารมณ์ขัน และ อารมณ์ผจญภัย ของหนังได้ลงตัว และ เหมาะสม พร้อมแฝงไปด้วยประเด็นข้อคิดมากมาย โดยเฉพาะด้านของ ความดี ความชั่ว ที่ถึงแม้หลังๆนั้นค่าย Dreamwork จะใช้ประเด็นเรื่องนี้บ่อยแล้ว (เฉกเช่นประเด็นความดี ความชั่ว ในเรื่อง Megamind) แต่สำหรับใน Puss In Boots ต้องเรียกได้ว่า มันเป็นการ์ตูน ที่สามารถเล่าเรื่องประเด็นเหล่านั้นออกมาได้ลึกซึ้ง และ น่าประทับใจ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องราวของพวก ปิดทองหลังพระ ครับ
ที่เรื่องราวด้าน ความดี ของหนังในเรื่องสามารถถ่ายทอดออกมาสอนคนดูได้ในแบบเข้าใจง่าย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “มันไม่สำคัญที่ว่าคนมองว่าเราเป็นคนดี หรือ คนชั่ว มันสำคัญอยู่ที่ว่า ตัวเราเองนั้นจะเลือกตั้งตนว่า เป็นคนดี หรือ คนชั่ว กัน” เฉกเช่นเดียวกับ พุซ ฮีโร่ที่กลายมาเป็นโจร และจากโจรก็กลายเป็นฮีโร่อีกครั้ง แต่จะเป็นอย่างไรไปติดตามกันเองได้ และท้ายสุดนั้นคือระบบ 3D ของหนังที่สามารถบอกได้เต็มปากเลยว่า เป็นอนิเมชั่นในระบบ 3D ที่ทำออกมาได้คุ้มมากเพราะว่ามีมิติ ลึก นูน อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะฉากเปิดตัวของหนังที่เรียกได้เลยว่า ‘น่าตื่นตา’ มาก เพราะว่ามันทะลุจอจนจะทะลุหัวเลย
สรุปแล้ว Puss In Boots ถือได้ว่าเป็นอนิเมชั่นที่สร้างออกมาได้เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็ก ก็สามารถสนุกสนาน และ ฮา ไปกับอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน พร้อมไปด้วยข้อคิดของหนัง ที่สามารถนำไปใช้ได้กับเด็กและผู้ใหญ่ เพียงแต่ว่าหนังยังไม่ค่อยหนักแน่นด้านความเป็นรองเท้าบู๊ทส์มากนักครับ