Directors : Joel Coen, Ethan Coen
Actors : John Malkovich, Frances McDormand, George Clooney, Tilda Swinton, Richard Jenkins, Brad Pitt
หลังจากได้ดู Trailer ของหนังและเห็นใบปิดที่ทำ Artwork ออกมาง่ายๆ สนุกๆ และกับทรงผมของแบร็ด พิทท์ (เกี่ยวนะ) หนัง Burn After Reading ที่เปรียบเสมือนงานพักร้อนของสองผุ้กำกับหลังทำหนังที่คนดูต้องลุ้นลุ้นจนเครียดเรื่อง No Country For Old Men ก็ให้น่าสนใจว่าคราวนี้พวกเขาจะมาไม้ไหน
Burn After Reading ว่าด้วยเรื่องราวของคน 6 คนที่มีอันต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกัน และก็เป็นไปตามสูตรของสองพี่น้องโคเอ็น คนทั้ง 6 ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกันดีๆ อย่างแน่นอน
คนทั้ง 6 คน แบ่งเป็น 2 ฟากของเรื่องราว ฟากแรกมี 3 คน คือ Osbourne Cox (John Malkovich) เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลของ CIA ที่พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกในทุกด้านของชีวิตกับ Katie เมียของเขาที่รับบทโดยดาราออสการ์คนล่าสุด Tilda Swinton ผู้ไปมีชู้กับ Harry (George Clooney)
อีกฟากก็คือเหล่าพนักงานในฟิตเนสสถาน Hard Bodies (ซับไทยแปลอย่างฮาว่า “หุ่นเด้ง”) มีครูฝึกจอมไฮเปอร์ชื่อ Chad (Brad Pitt) และ Linda (Frances Mcdormand) พนักงานหญิงวัยทองที่จิตตกกับความงามของตัวเองจนต้องการหาเงินมาทำศัลยกรรมเป็น 2 ตัวนำ และ Ted (Richard Jenkins) ผู้จัดการใจดีเป็นตัวเสริม
และมี CD ข้อมูลลับบางอย่างของ Cox เป็นตัวสร้างความอลหม่านให้ทั้งหมด
ด้วยบทที่ผูกโยงชีวิตผู้แพ้ในสังคมทั้ง 6 คนด้วยสถานการณ์ การกระทำที่เกิดจากความต้องการแปลกๆ และบทพูดที่แสนจะเสียดสีสังคมที่ในที่นี้คือวิถีบูชาความงามของสังคมเรา และที่ฮามากๆ ก็คือในเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยคำว่า “What the f**k?” (“นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย?”) ที่เหมือนพี่น้อง Coen คงไม่รู้จะเสียดสีอะไรแล้วเลยหันมาเสียดสีตัวเองซะเลย ทำให้หนังออกมาฮาจริงและโหดจัง ต้องตามมาตรฐานหนังพี่น้อง Coen ทุกอย่าง แถมเรื่องนี้ยังมีโบนัสที่การแสดงที่สบายตัว (นึกถึงหนังสบ้าย...สบายอย่าง Ocean’s Twelve ของ Steven Soderbergh) แต่เมื่อต้องถึงก็ถึงของเหล่านักแสดงคุณภาพ โดยเฉพาะ Frances McDormand ขาประจำคนหนึ่งของพี่น้อง Coen
เพื่อนๆ ที่ชอบหนังอาชญากรรมที่มีคนเล็กๆ ในสังคมที่แค่อยากให้ชีวิตของตัวดีขึ้นเป็นตัวเดินเรื่องตามสไตล์ของผู้กำกับคู่นี้อยู่แล้วก็คงจะไม่พลาด และชั่วโมงกว่าๆ ในโรงหนังก็คงเพลิดเพลินไป แต่กับผู้ที่ไม่ใช่คอหนังแบบนี้แล้วก็อาจจะหลับกันได้ง่ายๆ เหมือนกัน
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับชีวิตดีๆ ที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้...ประโยคว่า “What the f**k?” ที่มีให้ได้ยินอยู่ตลอดทั้งเรื่องก็เป็นตัวบอกชัดเจนแล้วว่าคนดูจะไม่ได้อะไรจากหนังเลยครับนอกจากความ “ไร้สาระ” หนัง Burn After Reading เป็นหนังที่ไร้สาระเหลือเกิน ไร้สาระจนต้องเผา (Burn) หลังจากได้ดู (Reading) สมชื่อเรื่อง
แต่ก็ด้วยประโยค “What the f**k?” ที่เสียดสีความไร้สาระของตัวเองอย่างหนักนี่แหละที่ทำให้หนังเรื่องนี้ของพี่น้อง Coen ซึ่งสำหรับผมแล้วพวกเขาทำหนังแบบมี Theme ที่ชัดเจนและหนักแน่นเป็นโครงทุกครั้ง มีสาระหรือ Message ชัดเหลือเกิน ชัดจนสะกิดเราให้คิดต่อ...
อะไรคือเรื่องสำคัญ? อะไรคือเรื่องไร้สาระ? 2 คำถามนี้เอาเข้าจริง เพื่อนๆ คงคิดอย่างผมว่า “ตอบยาก” ครับ เพราะมันช่างเป็นเรื่องส่วนตัวว่าใครจะมองอย่างไรเหลือเกิน
บางเรื่องอาจสำคัญกับบางคน แต่เรื่องเดียวกันนั้นเมื่อเกิดกับคนเดียวกันนั้นก็อาจจะกลายเป็นไร้สาระก็ได้เมื่อเปลี่ยนสถานการณ์รอบตัวไป อย่าว่าแต่กับคนอื่นๆ ที่อาจจะมองว่าไร้สาระเหลือเกินตั้งแต่ต้น ซึ่งเมื่อเวลาเปลี่ยนไปเขาก็อาจจะเปลี่ยนไปมองว่าสำคัญบ้างก็ได้
ก็ถ้าเรื่องที่ว่า “สำคัญ” หรือ “ไม่สำคัญหรือไร้สาระ” มันยอกย้อนวกวน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างนั้น บางทีการไปจริงจังถามว่า อะไรคือเรื่องสำคัญ? อะไรคือเรื่องไร้สาระ? แล้วยึดติดกับมันมากไป อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง (หรือสำคัญอย่างแท้จริง) ก็เป็นได้
เขียนไปก็งงไปว่านี่ผมเขียน “What the f**k?” อะไรอยู่นี่ 555
บทสนทนาระหว่างหัวหน้าหน่วย CIA สองคนในตอนท้ายของหนังที่นอกจากจะสรุปตัวหนังและตัวผู้กำกับได้ฮาแตกฮาแตนเหลือเกินแล้ว ก็อาจจะจริงเหมือนกันว่า แม้แต่ “เรื่องที่เราคิดว่าไร้สาระสุดๆ” นั้นก็ยังมีข้อดี 1 ข้อให้เราได้เรียนรู้ ส่วนเราจะได้เรียนรู้อะไรนั้นไปหาจากหนังไร้สาระที่ชื่อ Burn After Reading เรื่องนี้กันเอาเองนะครับ 555