หนังตั้งชื่อไทยได้ไม่เลวนะว่ามั้ย ฟังแหม่งๆ แต่ก็พอทำเนาน่ะครับ
กับหนังเรื่องนี้ก็เก่าพอดูนะครับ ผมดูในโรงด้วย ตอนนั้นยังเรียนป.ตรีปีหนึ่งอยู่เลย ยกพวกกับเพื่อนๆ ไปดูกัน ซึ่งดูโดยไม่รู้อะไรกับมันเท่าไหร่เลยครับ ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีหนังเรื่องนี้ จนเดินไปหน้าโรงนั่นแหละ ก็งงตัวเองครับ ทั้งๆ ที่ Michael Douglas นำแสดงผมดันไม่รู้จักซะงั้นน่ะ แต่ก็เอาเถอะครับ อย่างน้อยก็ไปยืนอ่านชื่อทีมงานก่อนเข้าไปดู ก็พอรู้น่าว่าอำนวยการสร้างโดย Anne Kopelson, Arnold Kopelson, Arnon Milchan ซึ่งสามรายนี้นับว่าพอไว้ใจได้ครับ เลยคิดๆ ว่ามันน่าจะ OK
เรื่องราวเริ่มที่เนธาน คอนราจ (Douglas) จิตแพทย์วัยรุ่นมือดีผู้มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมนะ มีภรรยาสุดสวย (Famke Janssen) และลูกสาวแสนฉลาด (Skye McCole Bartusiak) อยู่มาวันหนึ่งดร.หลุยส์ แซ็คส์ (Oliver Platt) ก็มาขอร้องเนธ่นให้ช่วยดูแลคนไข้สาวนามว่า อลิซาเบธ (Brittany Murphy) ให้หน่อย ซึ่งการทำความรู้จักก็เป็นไปอย่างยากเย็นครับ แต่เนธานก็ไม่อะไรมาก เพราะจะให้คนไข้พูดคุยปกติกับเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอได้ยังไง
แต่เรื่องมันเริ่มมาวุ่นตรงที่เช้าวันต่อมา ปรากฏว่าลูกสาวหายตัวไป จากนั้นก็มีชายลึกลับโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าเขาลักพาเธอไปเอง จุดประสงค์คือ ต้องการให้เนธานจัดการหาทางให้อลิซาเบธยอมบอกตัวเลข 6 หลักที่เธอรู้ออกมา หากเนธานทำไม่ได้ล่ะก็ ลูกสาวจะต้องเป็นศพอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เนธานเลยต้องระดมสมองและความสามารถทั้งหมดที่เขามีในการแก้สถานการณ์ช่วยทั้งตัวเองและลูกสาวให้ได้ก่อนเวลาจะหมดลง
แว่บแรกพอดูจบก็คิดเลยครับว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ได้ต่างจาก Kiss The Girls ผลงานกำกับเรื่องก่อนของ Gary Fleder เท่าไหร่ ตั้งแต่ตัวเอกทีความชำนาญทางจิตวิทยา และตัวละครหญิงเป็นกุญแจที่ใช้ในการคลี่คลายปริศนาของเรื่อง ไปๆ มาๆ ผมจะชอบเรื่องนั้นมากกว่าด้วยล่ะ อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่ครับ คอหนังแนว Suspense น่าจะคุ้นเคยกันดี สไตล์คล้ายๆ พวก Ransom น่ะฮะ หนังไม่ค่อยมีความลุ้นหรือตื่นเต้นอะไรนัก และยิ่งไปกว่านั้นหนังมันก็มีจุดโหว่อยู่เยอะ
จุดโหว่ที่หนักสุดคือผู้ร้ายครับ มันไม่ได้เฉียบขาด เขาคือ แพทริค คอสเตอร์ (Sean Bean … ผูกขาดบทร้ายตลอดศกครับ) ซึ่งผมไม่เถียงว่าพี่แกเล่นได้ไม่เลว ทั้งโหดเหี้ยมและฆ่าคนแบบไม่กระพริบตา แต่ปัญหาคือพี่ท่านดันมีแต่ความโหดอย่างเดียว ความเฉลียวฉลาดร้ายลึกไม่มีเลยครับ แผนเผินก็ไม่มี จริงๆ ผมหงุดหงิดตั้งแต่ฉากแรกแล้ว หนังมันเปิดตัวมาเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่แพทริคยกพวกไปปล้นธนาคาร ดดยสวมหน้ากากปิดหน้าตาเรียบร้อยเลยนะครับ แต่พอพวกพี่เขาเดินไปถึงในเขตไม่มีกล้องตรวจจับ พี่แกดันเจือกรีบถอดหน้ากากของเฉยเลย เฮ้ยพี่จะบ้าเหรอครับ กำลังปล้นธนาคารไม่ใช่เหรอ จะมาถอดหน้ากากทำไม ยังไงก็ต้องใส่อีกรอบ แล้วจะให้มันเสียเวลาทำไม ขืนมีคนเข้ามาไม่ยุ่งเหรอ เสี่ยงนะเนี่ย
เนี่ยครับ แค่ฉากแรกก็รู้เป็นเลาๆ แล้วล่ะว่าพี่ท่านหามีปัญญาไม่
แต่ยังครับ ยังมีอีก ต่อมาด้วยความอำมหิต พี่ท่านเลยฆ่าคนไม่เลือก ไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น … ไม่สนกระทั่งว่าศพของคนที่ฆ่านั่นจะกลายเป็นเบาะแสเรียกตำรวจทั้งโรงพักให้มาสืบคดีนี้ จนในที่สุดก็สาวถึงตัวพี่แพทริคแกนี่แหละ โธ่ พี่ครับ ก็พี่ฆ่าแล้วโยนน้ำ ศพก็ต้องลอยขึ้นมาสิครับ หินเหินไม่มีถ่วง แล้วทิ้งศพในเขตเมืองด้วยนะ กลัวคนไม่เห็นเหรอฮะ เป็นไงล่ะ ตำรวจเลยตามพี่มาเป็นพรวนเลยงานนี้
คิดตรงนี้ก็ตลก เพราะพี่แพทริคแกขู่เนธานว่า “ห้ามบอกตำรวจนะ” แต่ที่พี่แกทำนั้นแหละเป็นการเรียกตำรวจมาช่วยเนธานชัดๆ
ไม่เข้าใจจริงๆ…
โอ้ ยังครับ วีรกรรมทำเพื่อซวยของแกยังไม่หมด หนังยังเล่าเหตุการณ์สมัยแพทริคและพรรคพวกไปตามล่าพ่อของอลิซาเบธเพื่อแก้แค้นและบีบให้เขาคายความลับเรื่องเพชรที่ซ่อนไว้ออกมา แต่แทนที่พวกพี่ท่านจะถามไถ่ให้ได้เรื่อง ดันฆ่าเขา (อีกแล้ว ) ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพชรอยู่ไหน แล้วมิหนำซ้ำยังฆ่าต่อหน้าคนนับร้อยอีกด้วย … แล้วไงล่ะครับ ตำรวจก็เลยเดินดุ่ยๆ มาลากคอพวกพี่เข้าซังเตทั้งก๊กเลยน่ะสิครับ
เนี่ยอะ หนังแฟลชแบ๊คความไม่ฉลาดของพี่ตัวร้ายตลอดทั้งเรื่อง ไหวพริบปฏิภาณไม่มีทั้งสิ้น ทำอะไรพลาดตลอด ทีนี้ตอนดูหัวสมองเลยคิดได้ทันทีครับว่าอีแบบนี้จะมาชนะพี่พระเอกเนธานของเราได้ยังง้าย เป็นถึงจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฉลาดเป็นกรด แล้วยังโดนบีบให้หลังชนฝาด้วย แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะลุ้นอะไรแล้วล่ะครับ
เพราะพี่เนธานชนะตั้งแต่มุ้งยังไม่กางด้วยซ้ำไป
ด้วยเหตุนี้แหละรับ ผมถึงรู้สึกว่าหนังธรรมดาไปหน่อย เดาได้ตลอด ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะรู้ว่ายังไงเนธานก็เล่นงานมันได้ ไม่มีปมอะไรให้ลับสมองด้วย จริงๆ หนังแนวนี้สำคัญที่ตัวร้ายนะครับ ถ้าฉลาดและเก่งและโหดล่ะก็ ความลุ้นจะท่วมทวี เพราะเราจะเอาใจช่วยพระเอกไง ว่าจะรอดได้มั้ย จะเจออะไรบ้าง ความสนุกมันจะอยู่ตรงการหักเหลี่ยนเฉือนคมนี่แหละครับ แต่นี่หามีเหลี่ยมไม่ครับ ในเมื่อไม่ฉลาดกันเลยอ้ะ
ด้านนักแสดงนั้น Douglas ก็แน่อยู่แล้วล่ะครับ ดูมาดดีเหมาะเป็นจิตแพทย์ด้วย ส่วน Murphy ก็โทรมได้ที่ครับ แสดงไม่เลว แต่ก็โดนรัศมี Douglas ข่มไปไม่ใช่น้อย ในขณะที่ Bean ก็ยังเหมาะมากในบทวายร้ายจอมโหด การวางท่าทางการแสดงอารมณ์นี่ยอดเยี่ยม แต่บทดันทำให้เขาเป็นวายร้ายดาดๆ ไม่ฉลาดเท่าไหร่ (เขามี Megaclever ใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าผมยกให้ตัวร้ายเรื่องนี้เป็น MegaBuffalo ครับ) นี่ถ้าบทส่งให้แกร้ายพอสมน้ำสมเนื้อกับพระเอกนะ คงดีกว่านี้เพียบเลย
Janssen ก็สวยฮะ สวยจริงๆ แต่ก็มีแค่นั้นน่ะ บทไม่ได้ส่งด้วย แต่รายที่น่าคับแค้นก็คือพี่ Platt ของผมน่ะครับ โธ่ แกเป็นดาราขโมยซีนนะครับ ช่วงแรกโผล่มาพอทำเนา แต่ตอนหลังบทหายไปดื้อๆ เสียดายเหมือนกัน อีกรายที่เสียดายไม่แพ้กันก็คือ Jennifer Esposito สุดสวยของผมเป็นตำรวจนักสืบสาวซานดร้า แคสซิดี้ ซึ่งมาสืบจากศพที่พวกเฮียแพทริคดันไปโยนลอยน้ำเอาไว้ บทของเธอก็เป็นส่วนเสริมครับ แต่ผมว่านะ ถ้าเรื่องนี้ไม่มีตำรวจมาคอยยุ่งคอยช่วยล่ะก็ เนธานจะหลังชนฝากว่านี้ และคงลุ้นขึ้นอีกเยอะ
สรุปสำนวนนะครับ หนังไม่หวือหวาอะไร อ้า นี่ว่ากันตรงๆ เลยนะ ดูแบบเรื่อยๆ ไม่ลุ้นเท่าไหร่ เดาออกง่ายๆ ถ้าพูดถึงหนังแนวนี้นะครับ ผมว่า Nick of Time ของผู้กำกับ John Badham น่ะถึงเครื่องกว่ากันมาก เนื้อเรื่องคล้ายกันครับ ลูกสาวพระเอกโดนคนร้ายจับตัวไว้ แล้วบังคับให้เขาทำตามที่ตนสั่ง เรื่องที่ว่านี่ลุ้นสุดฤทธิ์ พระเอกก็ต้องระดมความคิดแบบสุดเดช เพราะหนังกำหนดพระเอกให้เป็นคนธรรมดาที่ดันไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา (แสดงโดย Johnny Depp ครับ) ก็ระดมความล้นกันสุดเดชเลยล่ะกว่าจะแก้เกมได้
สารภาพครับตอนดูในโรงนี่วูบหลับหลายหนนะ พยายามเปิดตาเต็มที่ โทนหนังมัน Blues ด้วยน่ะครับ เหมือนจะเล่นกับอารมณ์หมดหวัง แต่เผอิญหนังมันไม่ระทึกขนาดนั้นเลยกลายเป็นชวนง่วงแทน ดนตรีของ Mark Isham แม้จะมีระดับดี แต่ก็นั่นแหละครับ บทหนังอ่อนนี่หน่า
ก็ไม่ใช่หนังที่ห้ามพลาดอะไรครับ จริงๆ ผมเฉยเลยล่ะ อย่างที่บอกครับถ้าชอบแนวนี้ลองไปหา Nick of Time มาดูจะได้อรรถรสกว่าเยอะ หนังพลาดครับ วายร้ายไม่เก่งเท่าไร