ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

ดูหนัง Opapatika (2007) โอปปาติก เกิดอมตะ เต็มเรื่อง

ดูหนัง Opapatika (2007) โอปปาติก เกิดอมตะ เต็มเรื่อง - เว็บดูหนังดีดี ดูหนังออนไลน์ 2020 หนังใหม่ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนังสยองขวัญ

เรื่องย่อ : ดูหนัง Opapatika (2007) โอปปาติก เกิดอมตะ เต็มเรื่อง

ดูหนัง Opapatika (2007) โอปปาติก เกิดอมตะ เต็มเรื่อง

 

 

คุณเชื่อในโลกหน้ามั้ย?”

หนทางเดียวแห่งการได้มาซึ่งความสามารถ และอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์ นั่นคือ การยอมปลิดชีวิตตนเองเสีย แล้ววิถีแห่งการเป็น “โอปปาติก” จะเริ่มต้นขึ้น

มีคำเล่าขานถึง “พลังพิเศษ” แห่งตัวตนโอปปาติก ที่มีแตกต่างกันไป แต่ทุกครั้งที่มันเลือกใช้ กลับต้องแลกด้วย “คำสาป” อันแสนเจ็บปวดอยู่เสมอ

ที่ผ่านมา เหล่ามนุษย์อาจไม่เคยล่วงรู้ถึงชีวิตใน “โลกซ้อนทับ” นี้ จนกระทั่ง เมื่อมีมนุษย์หาญกล้า “คิดล่า” เหล่าโอปปาติก เพื่อ “ท้าทาย” ขอบเขตแห่งอำนาจ นานนับศตวรรษของพวกมัน

เมื่อนั้น... สงครามระหว่าง “มาร 5 ตน” กับ “1 คนธรรมดา” ...จึงอุบัติขึ้น ถึงเวลาที่ “มารจะล่าคน” และ “คนจะล่ามาร”

โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) - เกิดอมตะ เล่าถึงเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งบนโลก ที่ใช้ชีวิตปะปนอยู่กับผู้คนทั่วไป แต่ละคนที่เป็นโอปปาติกนั้น จะได้รับพลังพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้มีความสามารถเก่งกาจเหนือคนอื่นๆ หากแต่พลังพิเศษนั้นก็มีขีดจำกัดในการใช้ และจะค่อยๆ หมดไป เมื่อสิ้นอายุขัยในที่สุด

ศดก (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) โอปปาติกตนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเชื่อของตนเอง ว่าจะสามารถเอาชนะความตายได้ด้วยการเป็นอมตะ แต่อุปสรรคอย่างเดียว ที่คอยขัดขวางไม่ให้ความต้องการของศดกเป็นจริง ก็คือ จิรัสย์ (สมชาย เข็มกลัด) โอปปาติกอีกตนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างลึกลับ และดูอันตรายเกินไป ที่ศดกจะวางใจให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ทางเดียวที่ศดกจะสามารถเป็นอมตะได้ ก็คือต้องกำจัดจิรัสย์ออกไป

ศดกจึงวางแผนการ โดยให้ลูกน้องสุดจงรักภักดีนาม ธุวชิต (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ออกตามหา เตชิต (ลีโอ พุฒ) นักสืบเอกชนคนหนึ่ง ที่ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีพลังพิเศษ ของโอปปาติกแอบซ่อนอยู่

ศดกได้ล่อหลอกให้เตชิต กลายเป็นโอปปาติกด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ว่าจ้างให้เตชิตใช้พลังพิเศษของเขา ออกตามหาโอปปาติกตนอื่นๆ เพื่อร่วมมือกันหาทางกำจัดตัวอันตรายอย่างจิรัสย์ ที่ตอนนี้กำลังตามล่าหญิงสาวลึกลับนางหนึ่งอยู่

เตชิตตกลงช่วยเหลือศดก และได้รู้จักกับ ปราณ (เข็มอัปสร สิริสุขะ) สาวลึกลับคนที่จิรัสย์ต้องการจะฆ่า และหลงรักปราณทันทีที่ได้เจอหน้ากันครั้งแรก ซึ่งตัวปราณนี่เองที่เป็นกุญแจสำคัญ ที่ทำให้โอปปาติกตนอื่นๆ มารวมกันได้

ไปศล (ชาคริต แย้มนาม) โอปปาติกนักฆ่าที่ไม่เคยผูกพันยึดติดกับใคร นอกจากอดีตของตัวเอง และด้วยความรู้สึกผูกพันบางอย่าง ของไปศลที่มีต่อปราณ ทำให้เขาแอบตามดูแลปราณอยู่ห่างๆ

อรุษ (เรย์ แมคโดนัลด์) กับ รามิล (อธิป นานา) สองโอปปาติกเพื่อนแท้ชนิดตายแทนกันได้ เมื่อใดที่อยู่รวมกันจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าแยกกันจะอ่อนแอ เพราะต่างคนต่างก็มีพลัง ที่จะช่วยอุดจุดอ่อนของกันและกันได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เข้าถึงตัวได้ยาก เพราะไม่เคยไว้ใจใคร จนกระทั่งทั้งคู่ได้มาสานสัมพันธ์กับปราณ

แม้ดูเหมือนว่า เหล่าโอปปาติกทั้งหมดจะถูกดึงดูดมารวมกัน โดยมีปราณเป็นจุดเชื่อมโยง แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายไปเสียทั้งหมด เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีแง่มุมที่ไม่ลงรอยกันอยู่ ประกอบกับเรื่องราวที่ดูคลุมเครือระหว่างศดกกับจิรัสย์ นั่นได้นำไปสู่การปะทะกันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และนำมาซึ่งความสูญเสีย พร้อมๆ กับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของชีวิต

สุดท้ายแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ถูกหล่อหลอมขึ้น เป็นเงื่อนงำจะถูกคลี่คลายหรือไม่ ?

และจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าความจริงที่ทุกคนอยากรู้ กลับกลายเป็นความเจ็บปวด

พวกเขา... เหล่า “โอปปาติก” จะรับมือกับความจริงนั้น... อย่างไร ?

IMDB : tt1190556

คะแนน : 4.3

รับชม : 13830 ครั้ง

เล่น : 6027 ครั้ง



แต่ในเรื่อง "โอปปาติก เกิดอมตะ" ผู้กำกับฯ "ธนกร พงษ์สุวรรณ" ได้ดีไซน์ "โอปปาติก" ตัวละครของเขา โดยใช้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งเปิดคลังคำศัพท์พุทธดู ก็จะได้ความว่าโอปปาติกหมายถึง "สัตว์เกิดผุดขึ้น คือ เกิดผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น ; บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางพวก" ซึ่งการอิงรากความเชื่อทางพุทธ ที่คนไทยผูกพันแน่นแฟ้นมายาวนาน น่าจะมีส่วนทำให้ตัวละครที่ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษในหนัง ไม่ดูแปลกปลอมไปจากการรับรู้ของคนไทยเท่าไหร่นัก ยิ่งธนกรถอดความเชื่อทางพุทธมาปั้นเป็นคุณลักษณะพิเศษของตัวละคร (นามธรรมสู่รูปธรรม) ยิ่งทำให้ผู้ชมที่รักการต่อยอดตีความ เฝ้ามองการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของเหล่าโอปปาติกในเรื่องอย่างเพลิดเพลินมากขึ้นด้วย "จิรัสย์" "(สมชาย เข็มกลัด)" โอปปาติกผู้เป็นอมตะ แต่จริงหรือที่การไม่ตาย และการได้เห็นผู้เป็นที่รักจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าคือความสุขหรือสุดยอดปรารถนาของมนุษย์? "ไปศล" "(ชาคริต แย้มนาม)" รู้จุดตายของคู่ต่อสู้ ประเภทยิงปืนนัดเดียวก็พิฆาตศัตรูได้ ทว่าทุกครั้งที่เขาฆ่าคน บาดแผลและความเจ็บปวดนั้นก็จะคืนสนองเขาในทันที ดังคำพุทธที่เราเข้าใจ (แต่มักไม่เข้าทำ) ว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง "เตชิต" "(ลีโอ พุฒ)" ถูกเรียกว่าเป็น "คุณนักสืบ" ตั้งแต่ยังไม่สิ้นลม เพราะเขาช่างอยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าโลกแห่งความตายเป็นเช่นไร ครั้นพอตายไป เขาก็ได้รับพลังพิเศษคืออ่านใจคนได้ ตอนนี้เขาจึงได้รู้ทุกอย่างที่ตัวต้องการ ทว่ามันก็ต้องแลกกับการค่อยๆ สูญเสียประสาททั้ง 5 ในทุกครั้งที่ใช้พลังนั้นด้วย บางทีการไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง หรือแกล้งโง่เสียบ้าง อาจจะทุกข์ทนเจ็บปวดน้อยกว่านี้ก็ได้ อย่างที่พุทธมีคำว่า "อจินไตย" แปลว่าสิ่งที่ไม่พึงคิด คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด หากขืนคิดเพื่อให้รู้ให้ได้ ก็จะกลายเป็นความเครียดจนถึงขั้นบ้าเสียสติ เหล่านี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น เพราะหนังยังมีตัวละครอีกมากให้เราได้ "อ่าน" ทั้งนี้ การอ่านดังว่าน่าจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และภูมิรู้ของแต่ละคน เนื่องจากหนังไม่ได้ป้อนคำอธิบายความชัดเจน อีกทั้งไม่ได้เล่าความเป็นมาเป็นไปของตัวละครให้กระจ่างใจผู้ชมเท่าไหร่นัก


 
เช่นเดียวกับประโยคในหนังว่า "คุณเชื่อในโลกหน้าไหม, เราทุกคนล้วนแสวงหา แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังหาคืออะไร, แค่ความรักยังไม่เพียงพออีกหรือ" ฯลฯ ซึ่งก็ฟังดูลึกซึ้งคมคาย ทว่าหากอยากได้อะไรจากมัน ก็คงต้องนำกลับมาคิดต่อเองที่บ้าน เพราะขณะนั่งอยู่ในโรง หลายคนน่าจะจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะเอาแค่ใครเป็นใครมาจากไหนก็ยังลำดับความได้ไม่ครบ เพราะอย่างนี้ หนังจึงเสี่ยงต่อการถูกตราหน้าว่า "ดูไม่รู้เรื่อง" อย่างยิ่ง และบังเอิญการ "ดูหนังเอาเรื่อง" (ไม่ใช่เอาอารมณ์) ก็เป็นวัฒนธรรมหลักของคนไทยส่วนใหญ่เสียด้วย แต่หากลองเปิดใจให้กว้างสักนิด เก็บสาระในหนังมาให้ได้มากๆ แม้จะปวดหัวสักหน่อย "โอปปาติกฯ" ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งความบันเทิง (ที่ไม่ได้แปลความได้แค่ว่าต้องหัวเราะหรือลุ้นจนอกแตก) สำหรับคุณได้เหมือนกัน ที่อยากเตือนล่วงหน้าอีกประการ คือ หนังเรื่องนี้ไม่น่าจะเหมาะกับเด็กเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากจะคิดตามไม่ทันจนหมดสนุก หนังยังฆ่ากันเลือดสาดอีกด้วย สำหรับคนรักสุขภาพ หนังอาจทำร้ายโสตประสาทของคุณได้เช่นกัน เพราะเสียงปืนในฉากแอ๊คชั่นที่กินความยาวเกินครึ่งเรื่อง ดังจนบางครั้งอดเอามืออุดหูไม่ได้ สำหรับคนชอบแอ๊คชั่น จะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีคิวบู๊แปลกๆ ให้ดูก็คงไม่ใช่ ที่สวยประหลาดน่าจะเป็นฉากที่ใช้บู๊ (และใช้ทำอย่างอื่น) กันมากกว่า โดยฉากในหนังใช้แสงและสีมืดทึบทั้งเรื่อง นัยว่าจะสื่อให้เห็นถึงด้านมืดในใจมนุษย์ตามสไตล์หนังฟิล์มนัวร์ ซึ่งก็ออกมาดูงามแปลกตาดีอย่างที่บอก ในส่วนของสเปเชียล เอฟเฟ็คต์ก็นับว่าทำได้ดีไม่ขี้ริ้วหลอกตา โดยรวม "โอปปาติกฯ" อาจไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์พร้อม และอาจจะไม่สนุกตามความหมายที่คุ้นเคยกัน แต่อย่างน้อยๆ นี่ก็คือความแปลกใหม่ที่คนทำหนังไทยคนหนึ่งได้เสนอแก่คุณ (ที่ได้ดูแต่หนังผี ตลก กะเทยมายาวนานเหลือเกิน)ซึ่งก็หวังว่าเขาผู้นี้ จะไม่พ่ายแพ้แก่กระแส (รส) นิยมของคนหมู่มาก จนต้องหันเหไปทำหนังตระกูลยังไงก็ได้ตังค์ เพราะนั่นอาจจะดูเป็นเส้นทางที่ปลอดภัย (ในแง่กำไร-ขาดทุน) ก็จริง "แต่การเลือกเส้นทางนั้น อาจทำให้ใครหลายคนมองอย่างผิดหวังว่า ที่กำลังยกเท้าอยู่ไม่ใช่การก้าวไปข้างหน้า ทว่ามันคือการย่ำลงบนตำแหน่งเดิมต่างหาก" จากหนังสือพิมพ์