Jan Dara (2001) จันดารา
ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ แต่จนถึงกระทั่งปัจจุปันนี้ เซ็กซ์ยังคงเป็นสิ่งที่สื่อต่าง ๆ ขยาดที่จะนำเสนอออกมาตรง ๆ และอย่างชัดเจน เซ็กซ์คือสัญลักษณ์ของความรัก การให้กำเนิดชีวิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่เพียบพร้อมและดีงาม หากแต่อีกด้านหนึ่งแล้ว ความจริงที่ว่าเซ็กซ์เกิดมาจากราคะตัณหาของมนุษย์ก็คงจะเป็นสิ่งที่มาสามารถหลีกหนีได้ แต่ถึงกระนั้น เรื่องราวของเซ็กซ์และความสัมพันธ์ทางกายที่เปี่ยมด้วยตัณหานั้นก็ยังถูกจัดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำในสื่อทั้งปวงและจะถูกจัดอยู่ในจำพวกความหยาบช้าสามานย์เหมือนกับหนังโป๊ประเภทต่าง ๆ มากมาย
อันที่จริงหากพินิจพิจารณาแล้ว จัน ดารา ก็สามารถจับพลัดจับผลูไปอยู่ในหนังประเภทนั้นได้ไม่ยากนัก หากเพียงแต่ความต่างมันอยู่ที่ว่าเนื้อเรื่องของการดำเนินเรื่องที่มีมากกว่าและช่วยนำพาผู้ชมไปพบกับฉากเสพสังวาสที่ดมีความหมายมากกว่าฉากกระตุ้นต่อมสัญชาติญานทางเพศเพียงเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น จัน ดารา ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่แต่อย่างใด
เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่เกิดในบ้านใหญ่ท่ามกลางความเกลียดชังของผู้เป็นพ่อ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับความโสมมและเรื่องราวของตัณหาที่ไร้ทางออกเมื่อโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม ก่อนที่เรื่องราวจะเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด แค่มองผ่านก็สามารถบอกได้แล้วเลยว่า เนื้อหาของ จันดารา นั้นก็ไม่ได้ต่างจากละครหลังข่าวแต่อย่างใด
และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือความเป็นละครหลังข่าวของมันกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่แกนเรื่อง แม้ว่าจะพยายามทำให้ตัวละครมีความเป็นคนแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากแกนเรื่องที่ตัวหนังกำหนดให้ไปเดินเนื้อเรื่องตามที่ต้องการได้เลย แม้แต่ฉากเสพสังสวาสที่มักจะถูกนำมาใช้ในโลกของภาพยนตร์เพื่อสะท้อนสภาพจิตใจและเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครก็ดูเป็นการเพียงแค่ฉากสวยงามอันวิจิตรเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มมิติด้านลึกของตัวละครเพียงแต่อย่างใด
แม้กระทั่งตัวของ จัน ดารา ตัวละครหลักของเรื่องที่ควรจะมีความลึกและมิติของตัวละครมากที่สุด ก็สามารถคลี่คลายปมชีวิตและการกระทำของตัละครได้ในประโยคเดียวในตัวอย่างภาพยนตร์ว่า "เพราะดังนั้น ผมจึงต้องการความรักจากอิสตรี" และสุดท้ายเราก็ได้ปัจจัยที่ดาษดื่นเพิ่มขึ้นมาอีกสิ่งหนึ่ง
ที่จริงแล้วจัน ดารานั้นก็ไม่ใช่หนังที่ชั่วร้ายหรือทำอะไรผิดแต่อย่างใด หากเพียงแต่ว่ามันเชยจนเกินกว่ายุคสมัย แม้จะนำมาเล่ายังไงมันก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกรอบดั้งเดิมที่แข็งแกร่งได้ จุดเด่นที่ยกระดับของหนังเรื่องนี้ไม่ให้จมอยู่แค่ความเป็นหนังแผ่นหรือหนังชั้นสามก็คงจะเป็นความวิจิตรของงานสร้าง การกำกับเล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนหยดย้อย ภาพที่นำเสนอออกมาอย่างสวยงามและดูมีความเป็นศิลปะมากกว่ายั่วยุทางอารมณ์
ในฉบับปัจจุปันนี้ จัน ดารา ได้ถูกแยกออกเป็นสองบท โดยเนื้อเรื่องของภาคปฐมบทนั้นจะเล่าเรื่องราวตั้งแต่การกำเนิดของจัน ไปจนถึงจุดแตกหักทางเนื้อเรื่อง เวลาที่หนังใช้ไปก็ไปอยู่ที่การเล่าถึงอย่างตัวละครต่าง ๆ อย่างละเอียดลออและชมภาพความสวยงามที่หนังถ่ายทอดออกมาอย่างละเมียดละไม
เพราะเช่นนั้นแล้ว จัน ดารา จึงเป็นภาพยนตร์ที่ดูได้เรื่อย ๆ และมันเรื่อย ๆ จนเราอดคิดไม่ได้ว่าหากนำมันมัดเป็นสี่หรือห้าส่วนแล้วนำมาฉายลงโทรทัศนเราก็จะได้ละครโทรทัศน์อันวิจิตรและคุณภาพสูงพ่วงด้วยฉากติดเรทที่ไม่สามารถออกอากศได้หนึ่งเรื่อง แม้ระหว่างทางนั้นเนื้อเรื่องจะดำเนินด้วยหลากหลายอารมณ์ทั้งความสนุกสนาน ความเศร้า หรือ ความสะเทือนใจ แต่ด้วยเนื้อหาที่มีอารมณ์เหมือนดูตัวละครประเภทนางเอกลำเค็ญที่ต้องรอไปถึงจนจุดสุดท้ายจนกว่าจะได้ตบคืนนางร้าย มันก็เหมือนกับความรู้สึกปราดเดียวที่ปะทุขึ้นมาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว จนอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันไม่เหลืออะไรให้เราจดจำ
นอกเหนือจากนี้สิ่งที่อดชื่นชมไม่ได้ก็คือเหล่านักแสดงที่โดยรวมแล้วก็สามารถทำหน้าที่ได้ในระดับที่น่าพึงพอใจจนถึงดีมาก และนี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่สามารถดึงรั้งผู้ชมเอาไว้กับหนังได้ยาวนานในอีกระดับหนึ่ง
เกือบลืมไปอย่างหนึ่ง จัน ดารา เองนั้นก็มีเบื้องหลังของฉากการเมืองที่วุ่นวาย การเปรียบเปรยเรื่องราวในบ้านวิสนันท์เป็นเหมือนฉากการเมืองในช่วงแรกนั้นน่าสนใจจนสามารถเอาไปทาบซ้อนกับฉากหลังของเรื่องได้ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก แม้กระทั่งการบอกข้อความอะไรบางอย่างที่โจ่งแจ้งชัดเจน จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่น่าสนใจนี้เกิดขึ้นมาเพราะเกี่ยวข้องกับตัวเนื้อหาหรือว่าเป็นข้อความที่ผู้กำกับต้องการจะแทรกถึงเอาไว้เฉย ๆ กันแน่
ซึ่งหากถึงเวลาของ ปัจฉิมบท หลาย ๆ อย่างคงจะกระจ่างคลี่คลายได้มากกว่านี้เป็นแน่แท้