หลังจากผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง Gladiator ผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็พยายามทำหนังแนวพีเรียดออกมาอีก2เรื่องคือ Kingdom of Heaven และ Robin Hood แต่ได้รับกระแสตอบรับไม่ค่อยดีนัก ทั้งในแง่รายได้และเสียงวิจารณ์ ก่อนที่แกจะหันไปกำกับภาพยนตร์แนวอื่นๆแทน
กระทั่งในปีนี้เขากลับมาอีกครั้งกัย Exodus Gods and Kings ผลงานเรื่องล่าสุดที่หลายคนคาดหวังว่าอาจจะปลุกกระแสหนังแอ็คชั่นพีเรียดให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนอกจากฝีมือของผู้กำกับแล้ว ยังมีนักแสดงนำชายเบอร์ต้นๆของฮอลลีวู้ดอย่าง คริสเตียน เบล มารับบทนำอีกด้วย
ตัวหนังเล่าถึง โมเสส บุคคลในตำนานของศาสนายูดายที่โตมาในราชวังของราชวงศ์อียิปต์ จนเมื่อเติบใหญ่เป็นหนุ่มเขากลับพบความจริงว่าตัวเองเป็นคนฮิบรู (ยิว) โมเสสจึงทำการปลดแอกพี่น้องชาวฮิบรูจากการเป็นทาสรับใช้ของกษัตริย์ฟาโรห์ในสมัยของ แรเมซีส โดยเขามีภารกิจในการนำพาทาสนับ6แสนคนเดินเท้าข้ามทวีปเพื่อไปยัง คานาอัน แผ่นดินเกิดที่ว่ากันว่าเป็นดินแดนพันธะสัญญาแห่งพระเจ้า
แม้หน้าหนังจะดูเป็นแอ็คชั่น แต่ฉากสู้รบกลับมีไม่เยอะแบบที่คอหนังบู๊คาดหวัง ส่วนใหญ่พูดถุงศาสนาและความเชื่อ มีกลิ่นอายของหนังศาสนาดราม่าอย่าง Noah เนื้อหาหลายตอนซํ้าเดิมกับอนิเมชั่นเรื่อง The Prince of Egypt เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นคนแสดง และไม่ได้มีฉากอภินิหารแยกนํ้าทะเลแบบโจ่งแจ้ง แต่หนังก็มีกราฟฟิกสวยงามอลังการของเมืองอียิปต์โบราณมาแทน
หนังใช้บทสนาในการดำเนินเรื่องซึ่งใจความทั้งหลายเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ แง่หนึ่งคนดูจึงอาจรู้สึกเหมือนกำลังแลคเชอร์เรื่องจุดกำเนินศาสนายูดาย (ใครไม่ชอบวิชาสังคมมีหลับ) ชื่นชม ริดลีย์ สก็อตต์ ที่กล้าใช้ตัวละครเด็กมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า กระนั้น ฉากไฮไลต์ภัยพิบัติแห่งอียิปต์10ประการ นอกจากจะไม่ค่อยน่าเกรงขาม ยังดูตลกในบางข้อ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการมุ่งนำเสนอแต่มุมมองของทางฝั่งชาวฮิบรูผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว
การแสดงที่ดีของนักแสดงนำเป็นสิ่งที่ฉุดให้ภาพรวมของหนังโอเคขึ้น ทั้ง คริสเตียน เบล ในบท โมเสส ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของเขา ด้าน โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน ที่เล่นเป็น แรเมซีส ค่อนข้างโดดเด่นที่เดียวกับการรับบทนำเต็มตัวครั้งแรก ถือว่าเป็นตัวร้ายที่มีมิติ ถ่ายทอดอารมณ์ได้เก่งพอที่จะทำให้ผู้ชมเห็นอกเห็นใจเขา
โดยรวม Exodus Gods and Kings มีการแฝงนัยเรื่องการเมืองและสังคมไว้พอสมควร บางเหตุการณ์พาให้นึกถึงชะตากรรมของชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เพียงแต่สัดส่วนความบันเทิงอย่างซีนต่อสู้มีอยู่น้อยไปหน่อย รวมถึงมีฉากไม่สมเหตุสมผลประปราย อาทิ การไล่ตามแบบบ้าระหํ่าของ แรเมซีส ในช่วงท้ายเรื่อง ขณะเดียวกันหนังก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา ไปจนถึงเปรียบเทียบอำนาจของ พระราชา กับ พระเจ้า ได้น่าสนใจ