Forrest Gump (1994) ฟอร์เรสท์ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานิ่ม
ย้อนไปวันที่ 6 กรกฎาคม 1994 ที่ Forrest Gump เข้าฉายอย่างเป็นทางการทั่วอเมริกา เท่ากับว่า ‘ขนนก’ สีขาวในฉากเปิดเรื่อง ที่เปรียบเทียบได้กับชีวิตของฟอร์เรสท์ กัมป์ ได้ออกล่องลอยไปตามแรงลม โดยที่ไม่แข็งขืนหรือปฏิเสธสิ่งใดมาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เราก็ไม่เคยรู้สึกว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ ที่ถูกสร้างสรรค์โดย โรเบิร์ต เซเม็กคิส และฝีมือการแสดงอันเอกอุของ ทอม แฮงส์ จะกลายเป็นเรื่องเก่าล้าสมัยแม้แต่ครั้งเดียว
ทุกครั้งที่เราตั้งคำถามกับอนาคตเบื้องหน้าที่ยังมองไม่เห็น เราจะได้ยินเสียงเทียมทุ้มๆ แข็งๆ ของฟอร์เรสท์ กัมป์ ที่พูดย้ำๆ คำสอนจากแม่ที่ว่า “ชีวิตเปรียบเสมือนกล่องช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะเจอกับช็อกโกแลตรสอะไร จนกว่าคุณจะเปิดกล่องนั้น” ลอยขึ้นมา และทำให้เรากล้าที่จะเปิดกล่องเพื่อค้นหาช็อกโกแลตชีวิตรสต่อไปได้แทบทุกครั้ง
หรือในหลายครั้งที่เราอยากยอมแพ้ให้กับอุปสรรคที่ขวางอยู่ข้างหน้า แล้วประโยค Run! Forrest Run! ของเพื่อนสนิทอย่างสาวน้อยเจนนี่ ที่ดึงขึ้นมาพร้อมกับภาพการวิ่งแบบไม่คิดชีวิตจนขาเหล็กหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดีของฟอร์เรสท์ กัมป์ ก็มีพลังเพียงพอที่จะทำให้เราลุกขึ้นมา ‘วิ่ง’ อย่างไม่คิดชีวิตได้เสมอ
ในยุคที่ความเชื่อมั่นของผู้คนแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝั่งที่เชื่อมั่นในชะตาฟ้าลิขิต กับฝั่งที่เชื่อมั่นว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะลิขิตชะตาชีวิตขึ้นมาได้ และแต่ละคนก็มุ่งมั่นเดินทางตามความเชื่อของตัวเองแบบสุดโต่ง พร้อมกับคำถามมากมายที่ว่า ‘เราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร’, ‘เราจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำได้อย่างไร’, ‘เมื่อไรกันที่เราควรจะเลิกล้มความฝันที่ทำอยู่’ ฯลฯ และมีสารพันคำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาแต่ไม่มีคำตอบเป็นสูตรตายตัว
แต่สิ่งที่ฟอร์เรสท์ กัมป์ ผู้มีระดับไอคิวเพียง 75 พยายามแสดงให้ทุกคนเห็นมาตลอด 24 ปี คือการทำตัวเป็นขนนก ปลิวไปตามแรงลมและสถานการณ์จะพาไป และเมื่อตัดสินใจว่าจะทำสิ่งใดแล้ว เขาทำอย่างเต็มที่โดยไม่กลับมาตั้งคำถามให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
คนอื่นอาจจะมองว่าขนนกคือสัญลักษณ์ของเรื่องราวไร้สาระ เบาบาง ไม่มีน้ำหนัก แต่ขนนกที่ชื่อฟอร์เรสท์ กัมป์ นั้นแข็งแกร่ง หนักแน่นเกินกว่าคนที่มีไอคิวปกติทั่วไปจะนึกถึง
ในวัยเด็ก เขาวิ่งเพียงเพราะเชื่อในคำพูดของเพื่อนสาว สุดท้ายการวิ่งทำให้หลังที่คดเป็นเครื่องหมายคำถามของเขาหายดีเป็นปกติ และเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย
ในช่วงเป็นทหารรับใช้ชาติ ในครั้งนี้สถานการณ์ทำให้เขาเติบโตขึ้น และเขาเลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนสาวที่บอกว่า ‘อย่าทำอะไรโง่ๆ’ ด้วยการวิ่งฝ่าห่ากระสุนและดงระเบิดเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนรักที่รู้จักกันได้เพียงไม่กี่เดือน และเมื่อจบจากสงคราม เขาก็เลือกทำตามคำสัญญากับเพื่อนรักที่เพิ่งตายจากไป ด้วยการลงทุนซื้อเรือจับกุ้ง ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้มาก่อนแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าในช่วงแรกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เขาจับขึ้นมาได้มีเพียงเศษขยะ แต่ฟอร์เรสท์ก็คือฟอร์เรสท์ เขายังคง ‘วิ่ง’ ในเส้นทางที่เลือกแล้วต่อไปอย่างไม่เคยย่อท้อ และเมื่ออดทนและพยายามมากพอ เขาก็ประสบความสำเร็จกลายเป็นเศรษฐีพันล้าน จากธุรกิจที่เริ่มต้นเพียงเพราะคำสัญญาของเพื่อนที่ไม่มีโอกาสตามมาดูด้วยซ้ำว่า ฟอร์เรสท์ จะรักษาสัญญาอันนั้นเอาไว้หรือเปล่า หลังจากนั้นเขาตัดสินใจให้เพื่อนอีกคนช่วยดูแลธุรกิจ โดยที่ตัวเองกลับมาอยู่บ้านเพื่อคอยบริการรับตัดหญ้าให้ฟรีๆ ไม่คิดเงิน
และเมื่อผิดหวังจากความรัก เขาตัดสินใจออกวิ่งอีกครั้ง คราวนี้เขาก็ไม่รู้หรอกว่าการวิ่งจะช่วยเยียวยาจิตใจของเขาได้จริงหรือเปล่า เพียงแต่เขารู้สึกอยากวิ่ง เขาก็คว้ารองเท้าคู่เก่งออกวิ่งเพียงเท่านั้น และสุดท้ายเขาใช้เวลาวิ่งไปทั้งหมด 3 ปี 2 เดือน 14 วัน 16 ชั่วโมง เพราะคิดขึ้นมาได้ว่าคนเราจะไม่มีวันก้าวเดินไปข้างหน้า ถ้ามัวแต่คิดถึงอดีตที่ผ่านมา แต่เมื่อมีคนถามเขาว่าทำไมถึงหยุดวิ่ง เขากลับตอบเพียงแค่สั้นๆ ‘ผมเหนื่อย’ เท่านั้นแล้วหันหลังจากมา
ตลอดทั้งเรื่อง ฟอร์เรสท์แทบไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเจนนี่กลับมาหาพร้อมกับลูกชาย ‘ลิตเติลกัมป์’ ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ใช่ความตื่นเต้นที่จะได้เป็นคุณพ่อมือใหม่ หรือความสงสัยว่านั่นใช่ลูกของเขาจริงๆ หรือเปล่า คำถามเดียวที่ฟอร์เรสท์ถามขึ้นมามีเพียงแค่ “เขาเป็นเหมือนผมหรือเปล่า” เป็นคำถามจากคนไอคิวต่ำที่มีอีคิวสูงที่สุด เพราะสิ่งที่เขาคิดเพียงแค่อย่างเดียวในตอนนั้น คือความ ‘เป็นห่วง’ ลูกคนนี้ ไม่มีความคิดอื่นแอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย
และทันทีที่ฉากสุดท้ายจบลง ขนนกสีขาวเริ่มลอยไปตามลมอีกครั้ง และส่งผลให้หนังเรื่อง Forrest Gump ประสบความสำเร็จทั้งในด้านรางวัลที่สามารถกวาดรางวัลออสการ์ในปี 1995 (ที่มีหนังอย่าง Shawshank Redemption และ Pulp Piction) เข้าชิง รวมทั้งทำรายได้ไปทั่วโลกได้มากถึง 677.9 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียงแค่ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลายเป็นหนึ่งในหนังคลาสสิกที่อยู่เหนือกาลเวลามาตลอดระยะเวลา 24 ปี