คุณเคยเป็นมั้ย กับความรู้สึกหลังตื่นนอนขึ้นมาแล้ว จำเรื่องราวในความฝันไม่ได้? หรือ เคยมั้ยที่ฝันซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ อยู่เป็นประจำ ถ้าพูดโดยทั่วไป บางคนอาจจะบอกว่าเพราะกินมากเกินไปก็เลยฝัน หรือเก็บเรื่องราวต่างๆ ไปคิดมากจนกลายเป็นความฝัน แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Fourth Kind 1-2-3-4 ช็อค ซึ่งฝรั่งบอกว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ “เกิดขึ้นจริง” (เคยสงสัยว่าทำไมเวลามีอะไรลึกลับๆ มักเกิดขึ้นที่ประเทศในแถบตะวันตกก่อน โดยเฉพาะประเทศอเมริกา)
ปรากฏการณ์นี้อ้างอิงถึงเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ที่ฝรั่งเค้าวิเคราะห์มาแล้วว่า คนเราจะเกิดอาการ 4 ระดับ ถ้าได้พบกับมนุษย์ต่างดาว นั่นคือ
ระดับที่ 1 : เมื่อพบเห็นยานอวกาศ หรือ UFO
ระดับที่ 2 : เมื่อเก็บหลักฐานยืนยันได้
ระดับที่ 3 : เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก
ระดับที่ 4 : การลักพาตัว
และเรื่องราวที่เรากำลังจะพูดถึงก็คือเหตุการณ์ในระดับที่ 4 ซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ นำแสดงโดย ? มิลล่า โจโววิช (The Fifth Element และ Resident Evil)? ที่รับบทเป็น “ดร. อบิเกล ไทเลอร์” จิตแพทย์สาว ได้เริ่มทำการบันทึกช่วงเวลาการ รักษาคนไข้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากบางสิ่ง และนั่นก็กลายเป็นจุดที่ทำให้เธอค้นพบหลักฐานช็อคโลกที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกกันมาเกี่ยวกับการถูกสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวลักพาตัว
หากพูดถึงพล็อตหนังคงต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ กระตุ้นให้คนดูอยากลุ้น และติดตามว่าหน้าตาของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวจะหน้าตาเป็นอย่างไร และการนำเสนอเรื่องราวของภาพยนตร์เป็นการนำเสนอเนื้อหาในแบบกึ่งสารคดี โดยมีการแทรกฟุตเทจเรื่องจริง มาเป็นระยะ ซึ่งต้องบอกเลยว่า เป็นภาพยนตร์ที่มีจุดการนำเสนอที่ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่มีพล็อตเดียวกันนี้ ถือได้ว่าเป็นการพลิกแพลงที่แปลก ไม่เหมือนใคร
ส่วนเรื่องการคัดเลือกตัวนักแสดงมารับบท ดร.อบิเกล ไทเลอร์ สาว “มิลล่า โจโววิช” เธอก็สามารถแสดงสีหน้าในระดับนักแสดงชั้นนำได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการถ่ายทอดอารมณ์ออกมาให้คนดูเห็นว่า ตัวของ ดร.อบิเกล พยายามอย่างที่สุด เพื่อที่จะลืมเรื่องราวเลวร้ายในยามค่ำคืนทุกคืน ที่มักจะเกิดขึ้น ณ เวลา 3.33 น. สลับกับภาพการตัดต่อที่เน้นให้คนดูรู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยการใช้หน้าจอแทนสายตาของตัว ดร.อบิเกล และลุ้นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวโผล่มาจากไหน โผล่มาได้อย่างไร
แต่จุดที่น่าจะถือว่าเป็นจุดด้อยของเรื่อง คงเป็นระยะเวลาในการนำเสนอเนื้อหา เพราะอย่างที่บอกไป ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเสนอแบบกึ่งสารคดี คือมีทั้งเรื่องจริง (ที่เขาบอกมา) สลับกับการแสดงของนักแสดงที่เสริมแต่งขึ้นมา ที่ต้องบอกว่าจุดด้อยเรื่องนี้คือความน่าเบื่อของการให้สัมภาษณ์ของ ดร.อบิเกล ตัวจริงในรายการ และด้วยน้ำเสียงของเธอที่เป็นไปในโทนต่ำ เนิบช้า ถึงแม้กล้องพยายามจะจับภาพสายตาของเธอที่บ่งบอกถึงความหวาดผวา แต่สิ่งนั้นไม่ได้ช่วยให้ความน่าเบื่อลดน้อยลงแต่อย่างใด
แต่หากมองในแง่ของความรู้ที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีก 1 เรื่องที่สามารถนำมาเป็นข้อมูลอ้างอิงได้ ว่านอกจากโลกสีฟ้าใบนี้ ยังมีโลกอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้ามานำมนุษย์ไปเป็นสัตว์ทดลอง ดังเช่นที่มนุษย์เองก็มักจะนำสิ่งต่างๆ ที่แปลกประหลาดมาเป็นตัวทดลอง ซึ่งการที่มนุษย์ถูกจับไปนี้เอง จึงกลายเป็นต้นตอของเรื่องราวการบันทึกความทรงจำ ที่รอวันเปิดเผย แต่ทว่าดูเหมือนว่าทางออกจะยังคงมืดมนอนธการ
โดยรวมต้องถือว่าเป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่มีจุดเด่นในการนำเสนอ แต่จุดด้อยอย่างที่บอกไปทำให้ความสนุกของเรื่องลดน้อยลง สรุปแล้วระดับความน่าดูของเรื่องนี้คงเป็นไปได้ในระดับ 2.5 ดาว