หมวดหมู่ : หนังดราม่า
เรื่องย่อ : ดูหนัง Monster's Ball แดนรักนักโทษประหาร (2001) เต็มเรื่อง
คุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่อคุณค่าความเป็นคนในตัวคุณถูกตีค่าเพียงเพราะสีผิว ศาสนาและเชื้อชาติของคุณ?
แฮงค์(บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน) อาศัยอยู่กับพ่อ(ปีเตอร์ บอยล์)และลูกชายของเขาที่ชื่อซันนี่(ฮีธ เล็ดเจอร์)ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐจอร์เจีย ภรรยาของแฮงค์เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ทั้งพ่อของเขาและตัวแฮงค์เอง รวมไปถึงซันนี่ต่างรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรือนจำ
IMDB : tt0285742
คะแนน : 7
รับชม : 729 ครั้ง
เล่น : 209 ครั้ง
แฮงค์เป็นคนที่ยึดมั่นในระบบครอบครัวอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคำสั่งสอนของพ่อที่คอยปลูกฝังให้เขาเป็นคนเหยียดสีผิว ซึ่งแฮงค์ก็นำคำสั่งสอนนี้ไปปลูกฝังให้กับซันนี่ ลูกชายของเขา ความเกลียดคนผิวดำเข้าไส้จึงทำให้แฮงค์มักแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดต่อคนผิวดำอยู่เสมอๆ เช่นฉากที่แฮงค์ยิงปืนขู่เด็กผิวดำที่มาเที่ยวหาซันนี่ที่บ้าน จึงทำให้คนผิวดำที่เป็นเพื่อนบ้านของแฮงค์ไม่ชอบขี้หน้าเขาและไม่ต้องการเป็นมิตรกับเขาเช่นเดียวกัน แตกต่างกับซันนี่ที่เขาไม่ต้องการเหยียดสีผิวเหมือนที่พ่อและปู่ของเขาทำ ซันนี่จึงมักถูกปู่และพ่อของเขามองว่าเขาเป็นคนอ่อนแออยู่เสมอๆ
หลังจากนั้นภาพตัดกลับมาที่เลติเซีย (ฮัลลี่ เบนร์รี่) หญิงผิวดำพร้อมลูกชายที่เดินทางมายังเรือนจำเพื่อมาเยี่ยมสามีของเธอเป็นครั้งสุดท้าย เพราะสามีของเลติเซียจะถูกประหารในอีกไม่ช้า ฉากที่ลูกชายพูดกับพ่อว่า "ผมจะไม่ได้เจอพ่ออีกแล้วใช่ไหมครับ" คงจะทำให้หลายคนรู้สึกหดหู่และสลดใจ ฉากที่ทั้งสามพ่อแม่ลูกล่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายภายในห้องเล็กๆก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกได้ทำให้บรรยากาศรอบๆอยู่ในความเงียบปนเศร้าขึ้นมาทันที แม้เลติเซียจะแสดงออกเหมือนหญิงแกร่ง แต่ภายในใจของเธอลึกๆ กลับร้อนรุ่มกระวนกระวายและทำใจไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก
แฮงค์และลูกชายเป็นเจ้าหน้าที่ที่จะต้องนำตัวสามีของเลติเซียไปประหาร ตัวซันนี่เองดูจะกดดันอยู่ไม่น้อย เพราะนี่เป็นการประหารคนครั้งแรกของเขา ในขณะที่แฮงค์คาดหวังว่าลูกชายของเขาจะปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้เป็นไปด้วยดี และไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครๆเห็น แต่ก่อนที่สามีของเลติเซียจะถูกนำตัวไปประหาร เขาได้มอบภาพวาดให้กับแฮงค์และซันนี่
เมื่อขั้นตอนการประหารชีวิตเริ่มขึ้น นักโทษถูกนำตัวไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าประหาร โดยมพยานหลายคนมานั่งชมการประหารและมาร่วมเป็นพยาน แขกที่มานั่งชมการประหารดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรขณะที่นักโทษถูกไฟฟ้าช็อตจนเสียชีวิตในที่สุด แต่ภาพการประหารดังกล่าวกลับทำให้ซันนี่รู้สึกสะอิดสะเอียนและรับไม่ได้เป็นที่สุด จนเขาถูกแฮงค์ดุด่าว่าเป็นคนอ่อนแอ ทั้งสองพ่อลูกมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา ในที่สุดซันนี่ตัดสินใจยิงตัวเองตายเพราะคิดว่าพ่อไม่รักเขา
แฮงค์และพ่อของเขายังคงคิดว่าการตายของซันนี่นั้นไม่ใช่ความผิดของพวกเขา แต่เป็นเพราะที่ตัวซันนี่เองตางหาก และในช่วงเวลานี้เอง เพื่อนบ้านที่เป็นคนผิวดำที่ไม่ถูกกับแฮงค์ เมื่อรู้ข่าวการตายของซันนี่ต่างก็มาแสดงความเสียใจต่อแฮงค์ และนั่นทำให้แฮงค์เริ่มเปิดใจให้คนผิวดำที่เป็นเพื่อนบ้านมากขึ้น ซึ่งทำให้เขาเองรู้สึกสับสนต่อการตายของลูกชายและเห็นความผิดพลาดของตัวเขาเองที่ผ่านมามากขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่จุดหักเหการเปลี่ยนความคิดของแฮงค์ที่มีต่อคนผิวดำครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้มาเจอกับเลติเซีย หญิงหม้ายผิวดำที่เพิ่งสูญเสียสามีจากการถูกประหารชีวิต และต้องแบกรับภาระต่างๆเพียงลำพัง
แฮงค์ได้เจอกับเลติเซียในวันที่ลูกชายของเลติเซียถูกรถชน เขาได้ช่วยนำตัวลูกชายของเลติเซียส่งโรงพยาบาล และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาได้ช่วยเหลือคนผิวดำก็ว่าได้ ทว่าการช่วยครั้งนี้ของแฮงค์กลับไม่สามารถช่วยชีวิตของลูกชายเลติเซียได้ ในฉากนี้เราจะได้เห็นเลติเซียพูดกับแฮงค์ว่า
"คุณเชื่อว่าพวกตำรวจจะช่วยติดตามคดีของลูกชายฉันหรือ เขาเป็นแค่เด็กผิวดำนะ" ซึ่งอาจเป็นคำพูดที่สะท้อนให้เห็นว่า คนผิวดำในอเมริกานั้นยังคงไม่ได้รับสิทธิและเสรีภาพหรือความช่วยเหลือได้เท่ากับคนผิวขาว แม้แฮงค์เองจะรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองในด้านความรู้สึกต่อคนผิวดำในตอนแรก แต่เมื่อเขาได้เห็นการดิ้นรนชีวิตของเลติเซียและความรักที่เลติเซียมีต่อลูกชาย รวมถึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเลติเซียนั้นเป็นภรรยาของนักโทษผิวดำที่เขาเป็นคนประหารชีวิต กลับยิ่งทำให้แฮงค์รู้สึกผิดมากขึ้น และอับอายต่อสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจลูกชาย ในอดีต รวมถึงเรื่องที่เขามีอคติต่อคนผิวดำ
ท้ายสุดจึงทำให้กำแพงในใจของแฮงค์ที่เคยกีดกัน ต่อคนผิวดำจึงค่อยๆ พังทลายลงไปในที่สุด และด้วยความที่ทั้งแฮงค์และเลติเซียเพิ่งสูญเสียลูกชายและบอบช้ำในชีวิตมาเหมือนกัน จึงทำให้เลติเซียและแฮงค์ต่างเข้าอกเข้าใจกันและกันและพัฒนาความสัมพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว แฮงค์ได้ลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรือนจำและหันมาเปิดปั้มน้ำมันเล็กๆ
ดูเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดจะดำเนินไปด้วยดี จนวันหนึ่งที่เลติเซียได้เจอกับพ่อของแฮงค์ที่บ้าน พ่อของแฮงค์ยังคงดูถูกคนผิวดำ อย่างเลติเซียเหมือนเช่นเคย จนทำให้เลติเซียเข้าใจผิดในตัวแฮงค์ แฮงค์จำต้องพิสูจน์ความรัก ที่มีต่อเลติเซียโดยการส่งพ่อของตัวเองไปอยู่บ้านพักคนชรา ในขณะที่บ้านของเลติเซียถูกยึดเพราะไม่มีเงินส่งและจำใจต้องมาอยู่บ้านแฮงค์ในที่สุด อย่างไรก็ตามเรื่องราวไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะเลติเซียมารู้ความจริงว่าแฮงค์นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมในการประหารสามีของเธอ จากภาพวาดที่สามีของเธอเคยให้ไว้กับแฮงค์และซันนี่ เลติเซียรู้สึกโกรธตัวเองและแฮงค์เป็นอย่างมาก แม้เลติเซียอยากเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับแฮงค์และตั้งใจจะหนีไปจากเขา แต่เมื่อเลติเซียได้เห็นว่าแฮงค์พยายามที่จะเป็นคนใหม่และทำดีกับเธอ จึงทำให้เลติเซียเลือกที่จะลืมเรื่องราวในอดีตที่ขมขื่นและลองใช้ชีวิตร่วมกับแฮงค์ในตอนท้ายที่สุด แม้เรื่องราวต่างๆ จะยังเป็นบาดแผลฉกรรจ์ในใจของเลติเซียไปตลอดชีวิตก็ตาม แต่อย่างน้อยเลติเซียก็ได้รู้ว่า คนผิวขาวอย่างแฮงค์ในท้ายที่สุดแล้ว เข้าใจและมองเห็นคุณค่าของความเป็นคนของคนอื่นๆ โดยไม่ได้มองเพียงแค่สีผิวหรือเชื้อชาติอีกต่อไป
หนังเรื่องนี้อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกหดหู่เศร้าสลดในแง่ของตัวละครที่ต้องผ่านเรื่องราวหนักๆ มาในชีวิต แต่เหตุการณ์ในหนังอาจกำลังเกิดขึ้นกับใครบางคนอยู่ก็ได้ แม้การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้จะเป็นไปแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ในแต่ละฉากกลับแฝงให้ผู้ชมได้คิดตามไปด้วย เหมือนต้องการจะสื่อออกมาว่า คนผิวดำในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างอเมริกานั้นก็ยังคงถูกมองข้ามและมักถูกมองว่าเป็นต้นเหตุการก่อปัญหาอาชญากรรมความรุนแรง และคนดำอเมริกันส่วนมากก็ยังเป็นกลุ่มคนชั้นล่างในสายตาของคนผิวขาวอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นใครที่ชอบภาพยนตร์แนวดราม่ารันทดไม่ควรพลาดชมหนังเรื่องนี้โดยเด็ดขาด
เรื่องราวการเหยียวสีผิวในหนังเรื่องนี้คล้ายคลึงกับสถานการณ์กีดกันชนกลุ่มน้อยในพม่า ซึ่งเผชิญมาตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษ รัฐบาลพม่ากีดกันไม่ให้ชนกลุ่มน้อยเรียนภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง และพยายามกลืนกลายชนกลุ่มน้อย โดยการออกนโยบายให้ทหารพม่าแต่งงานกับหญิงสาว ชนกลุ่มน้อยโดยที่พวกเธอไม่เคยได้รับความเท่าเทียมและโอกาสจากรัฐบาลพม่าเลย นอกจากนี้ ผู้ที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาเหมือนผู้นำพม่า อย่างชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมโรฮิงยาก็ต้องถูกทหารพม่าข่มเหงรังแกอยู่ตลอดเวลา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลายพื้นที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการสู้รบของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับเผ่าพันธุ์ของตนเอง ซึ่งปลายทางของความขัดแย้งได้นำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ตราบใดที่รัฐบาลพม่ายังไม่ได้แสดงความเคารพในศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ตราบนั้นสงครามกลางเมืองในพม่าก็คงไม่อาจยุติลงได้เช่นกัน.