ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

ดูหนัง Primal Fear (1996) สัญชาตญาณดิบซ่อนนรก เต็มเรื่อง

ดูหนัง Primal Fear (1996) สัญชาตญาณดิบซ่อนนรก เต็มเรื่อง - เว็บดูหนังดีดี ดูหนังออนไลน์ 2020 หนังใหม่ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังอาชญากรรม , หนังดราม่า , หนังระทึกขวัญ

เรื่องย่อ : ดูหนัง Primal Fear (1996) สัญชาตญาณดิบซ่อนนรก เต็มเรื่อง

IMDB : tt0117381

คะแนน : 7.7

รับชม : 740 ครั้ง

เล่น : 149 ครั้ง



Primal Fear (1996) สัญชาตญาณดิบซ่อนนรก

ในโลกนี้มีหนังอยู่หลายเรื่องที่ผมดูแล้วอ้าปากค้างตอนจบครับ และ Primal Fear ก็คือหนึ่งในนั้น

มาร์ติน วาลี่ (Richard Gere) อัยการผู้ทะเยอทะยานและมีชื่อเสียงโด่งดังประจำชิคาโก้ ได้ยื่นมาเข้าช่วยแอรอน สแตมป์เลอร์ (Edward Norton) เด็กวัดที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมท่านอาร์บิชอปผู้เป็นที่นับถือของคนทั้งเมือง แต่แอรอนยืนกรานว่าเขาไม่ได้ทำอย่างแน่นอน มาร์ตินเองก็เชื่อเช่นนั้นครับ

แต่แล้วประชาชนก็ย่อมต้องการความจริง จึงมีการนำเรื่องขึ้นศาลเพื่อสืบสวนหาความจริง งานนี้มาร์ตินเลยต้องหาหลักฐานมาแก้ต่างและตามล่าลากคอฆาตกรตัวจริงมาลงโทษ แต่ก็มีฝ่ายที่ปักใจว่าแอรอนคือคนทำ และทนายฝ่ายตรงข้ามก็คือเจเน็ท เวเนเบิ้ล (Laura Linney) ที่พยายามหาข้อพิรุธจากคำให้การของแอรอน ซึ่งเธอก็เหมือนจะมีอดีตกับมาร์ตินด้วย

แล้วใครคือคนลงมือฆ่า …

หนังเรื่องนี้จัดเป็นแนวสืบสวนบวกขึ้นโรงขึ้นศาลที่ทำได้อย่างน่าติดตามและสนุกมากครับ จุดเด่นที่ต้องยกนิ้วให้คือฝีมือกำกับของ Gregory Hoblit ที่คุมโทนหนังไว้อยู่หมัด ทั้งสมจริง และน่าติดตาม มีการทิ้งปมให้คนดูอยากรู้ตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนี่เป็นงานกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกนะครับ หลังจากซุ้มทำหนังทีวีมาสิบกว่าปี ซึ่งซีรี่ส์ที่พี่แกคลุกคลีทำบ่อยที่สุดคือ NYPD Blue ก็เลยพอเข้าใจว่าทำไมแกทำหนังสืบสวนได้เข้าท่า

ฝีมือดาราก็มาวินเลยล่ะครับ Gere เองก็ยังวางมาดแบบเดิมๆ แต่ดูเหมือนสำหรับบทอัยการผู้ทะเยอทะยานคนนี้ ส่วน Linney ก็มาดคมเหมาะกับบทนักกฎหมายเหมือนกัน ตอนอยู่นอกศาลนี่ดูเป็นผู้หญิงเก่งนักทำงานธรรมดาๆ แต่พอขึ้นศาลซักเท่านั้นล่ะ แววตาท่าทางนี่ใช่เลยล่ะครับ ขอชมเลยจริงๆ

แต่รายที่เด็ดขาดเหนือใคร คือ Edward Norton ที่เคยแสดงหนังทีวีในบทสมทบอยู่นิดหนึ่งครับ ก่อนจะมาเล่นหนังใหญ่เต็มตัวเรื่องแรกก็เรื่องนี้แหละ ในบทแอรอน เด็กวัดที่ดูไม่มีพิษภัย น่าสงสารซะด้วยซ้ำ แต่ครับ แต่ๆๆๆๆๆ เฮ่อ ต้องหลายแต่หน่อย เพราะบทที่แกเล่นไม่ใช่แค่นี้ อ้า พุดไปเดี๋ยวสปอยล์ครับ อย่ารู้ดีกว่า บอกได้แค่ว่า บทนี้ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ไปเลย อืมม์ ผมเองก็ว่าสมควรล่ะครับ แสดงได้สุดยอดมาก นี่ว่ากันว่าบทนี้ตอนแรกเป็นของ Leonardo DiCaprio นะครับ แต่พี่แกบอกปัดไป ก็ถือว่าโยนของดีมาให้พี่ Edward ของผมล่ะ (ได้ข่าวว่า Matt Damon ก็เคยไปแคสบทนี้ครับ แต่ไม่ผ่าน)

ผมอยากจะรีวิวต่างระดับขึ้นมาแล้วล่ะสิ อืมม์ มีเชิงลึกครับ ไม่อยากทราบมากกว่านี้ผมก็บอกตรงนี้เลยว่า ดูซะครับ หนังเข้มข้น น่าติดตาม ดาราดี เรื่องก็น่าสนใจ ประเด็นนี่จิกกัดซ้ำยังแอบวิพากษ์ระบบกระบวนการยุติธรรมของอเมริกาได้อย่างดี อาจมีช่วงช้าๆ บ้าง แต่ก็ไม่เยอะครับ

อ้า ผมมาระดับลึกละนะ ข้ามไปอ่านดาวด่วนครับถ้าไม่อยากทราบ

Richard-Gere-e-Edward-Norton

หนังกระแทกคำถามใส่ดั้งคนดูโครมเบ่อเริ่มเลยล่ะครับ ไล่มาตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมนั้นแท้จริงแล้วมันหาได้กลั่นกรองเฉพาะความถูกต้องเท่านั้น มันยังมีเรื่องผลประโยชน์ตามมาด้วย อย่างตัวมาร์ตินเองก็ไม่ได้หมายจะเอาความยุติธรรมมาใส่พานให้ประชาชนหรอกครับ เขาหมายมั่นที่จะได้รับชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือติดปลายนวมมาต่างหาก ดังนั้นในระดับหนึ่งพี่แกก็หลอกใช้นายแอรอนเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้สังคมเห็นว่าเขามีคุณธรรม และเป็นบุคคลคุณภาพซึ่งอาจจะกรุยทางให้เขาไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าตอนนี้

มันก็เป็นสูตรสำเร็จของคนที่อยากใหญ่แล้วก็นักการเมืองอยู่แล้วเน้อะ

ส่วนระบบศาลของเมืองลุงแซมนั้นก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมานาน ว่าอันที่จริงมันก็ไม่ต่างจากการโต้วาที ที่ทนายฝ่ายไหนพูดเก่ง แก้ต่างได้ดี ก็เป็นอันชนะแน่นอน ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรก็เถอะ ดังนั้นถ้าพูดแบบออกจะโกงๆ นิดหน่อย คือ หากคุณอยากรอดจากคดีของให้มีคนแก้ต่างเก่งๆ ก็พอครับ หนังเลยตั้งคำถามอีกโป้กหนึ่งใส่หน้าคนดูว่า แล้วเราจะเชื่อระบบนี้ได้ดีแค่ไหน

อันที่จริงผมเชื่อในระบบนะครับ ระบบศาล การตัดสินและสืบสวน เพราะระบบมันก็ออกแบบมาโอเค ช่องโหว่มีบ้างแต่น้อย ซึ่งมนุษย์อย่างเราๆ นี่แหละที่ต้องช่วยอุดช่องโหว่ที่ว่า แต่ไปๆ มาๆ มนุษย์เราเองนี่แหละที่ใช้กฎหมายและศาลมาใช้เป็นสถานที่ปาหี่ เพื่อทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ

ปัญหาส่วนหนึ่งอาจมาจากระบบ แต่ส่วนใหญ่มาจากคนใช้มันนี่แหละครับ ทำให้ความยุติธรรมกลายเป็นเรื่องของธุรกิจไปซะอย่างนั้น

และท้ายสุดของทุกอย่าง คือไคลแม็กซ์ของเรื่องครับ นายแอรอนนี่แหละ ทำเอาผมอ้าปากค้างจริงๆ เพราะเขาใช้ช่องโหว่ของกฎหมายที่ว่ามาเอื้อประโยชน์แบบเต็มๆ จนทำเอาผมอึ้ง มาร์ตินยังอึ้งเลยครับ เจอเด็กวานซืนหลอกเข้าได้

มุขที่ทำให้ผมอ้าปากค้างคือ การที่นายแอรอนแกทราบครับว่า การลงมือฆาตกรรมหากทำไปเพราะอาการทางจิตน่ะ ศาลยกฟ้อง (มันช่างละม้ายคล้ายกับบางคดีในบ้านเราจังนะครับ) คุณแค่ยืนกราน ทำตัวเป็นไอ้บ้าก็รอดจากคดีเรียบร้อย ไม่ใช่เฉพาะอเมริกาครับ ทุกประเทศเกิดขึ้นประจำ… นึกแล้วก็ยิ่งต้องพึงสังวรณ์ ระวังตัวไว้อย่าให้เกิดเรื่องกับใคร เดี๋ยวหมอนั่นเกิดรวยแล้วใช้มุกมีอาการทางประสาทเข้าร่วม เราก็มีแต่เสียกับเสียครับ

ผมว่ามนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่งนะครับ มีประสิทธิภาพ ฉลาด และทำอะไรได้หลายอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีไม่น้อยที่ใช้ความฉลาดนั้นในแนวแกมโกง… นี่ถ้าทุกคนฉลาดแบบสร้างสรรค์ ช่วยกันทำสิ่งดีๆ พัฒนาโน่นนี่ มันจะดีแค่ไหนนะ

หนังเรื่องนี้จะถือว่ามีสองคมก็คงไม่ผิดนัก คนที่ดูแล้วคิดได้ คอยระมัดระวังตัว ระวังคนจะมาหลอกแบบที่มาร์ตินโดยแอรอนหลอกต้มซะจนสุกเปื่อย เราจะได้คิดอะไรอย่างรอบคอบมาขึ้น อย่าเชื่อคนสุ่มสี่สุ่มห้า พยายามมองอะไรอย่างกลางๆ แต่หากมองในอีกคมหนึ่ง หนังเป็นแนวทางจุดประกายให้หลายคนเอาตัวรอดจากกฎหมายด้วย การทำตัว เป็นบ้าซะ

จริงๆ การที่มาร์ตินตกหลุมแอรอน ส่วนหนึ่งก็มาจากความทะเยอะทะยานนั่นแหละครับ เจ้าความโลภหรือหยิ่งอวดดีจะทำให้เรามองอะไรพลาดไป จนอาจเกิดเรื่องพลาดพลั้งขึ้นมาจริงๆ ได้

ความต้องการอำนาจ เงินทองและชื่อเสียงนี่ถือเป็นทางเดินที่มีหลุมรองอยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสิ้นครับ หากพลาดนิดเดียวก็จะตกลงไปแบบหาทางขึ้นไม่เจอไปเลย ระวังไว้นะครับ

มีเกร็ดสนุกๆ แถมท้ายอีกนิดว่า หนังสร้างจากนิยายขายดีของ William Diehl ซึ่ง Primal Fear ถือเป็นเพียงปฐมบทเท่านั้นครับ หลังจาก PF ขายดีและโด่งดังแล้ว สามปีต่อมา Diehl ได้ลงมือเขียนตอนต่อในชื่อว่า Show Of Evil อันเป็นการเล่าเรื่องราว 10 ปีต่อมา หลังจากแอรอนได้รับการปล่อยตัวจากสถานบำบัดแล้ว เขาก็ออกมาพบเจอกับคู่ขาเก่า ซึ่งคู่ขาคนนี้ก็มาชวนให้เขาช่วยกันลงมือฆาตกรรมคนอีก ซึ่งคนที่ว่านี่ก็คือเหล่าเด็กวัดที่เคยให้การเอาผิดเขาเมื่อคราวก่อน เรียกได้ว่าเป็นการแก้แค้นละครับ และงานนี้มาร์ตินก็โดนด้วย เพราะแอรอนตามมาฆ่าคนรักปัจจุบันของมาร์ตินอย่างโหดเหี้ยม (ซึ่งคนรักก็คือ ดร. มอลลี่ อาริงตัน ที่ในหนังรับบทโดย Frances McDormand น่ะครับ) แล้วก็ตามไปเล่นงานเวเนเบิ้ลจนตาบอดไปเลย มาร์ตินเลยต้องตามล่าจัดการมันขั้นเด็ดขาด ไคลแม็กซ์ก็คือมาร์ตินต้อนแอรอนไปที่เหมือง ก่อนจะเกิดการปะทะและลงเอยว่าแอรอนตกลงไปในเหมือง

จากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงนิยายเล่มที่สาม ในชื่อ Reign in Hell เมื่อแอรอนยังไม่ตาย เขาได้หนีไปยังเท็กซัส ปลอมตัวเป็นบาทหลวงตาบอดคอยหลอกเงินและล่อลวงเด็กสาวแถบนั้น ซึ่งเรื่องราวก็ขมวดให้แอรอนต้องเผชิญหน้ากับมาร์ตินอีกครั้ง และในครั้งนี้แอรอนโดนยิงตายคาที่อย่างแน่นอน… อืมม์ กลายเป็นเรื่องไตรภาคไปเลยนะครับ แต่นี่คือนิยายนะ ไม่ได้เอามาทำเป็นหนังครับ

เอาล่ะ ผมไม่ทราบว่าคุณๆ เคยได้ดูหนังเรื่องนี้หรือยัง ก็อย่าพลาดนะครับ อย่างน้อยดูการแสดงที่แจ้งเกิดให้ Edward แกดังเป็นพลุแตก ก็คุ้มแล้วล่ะครับ แล้วนี่ยังเป็นหนังประเภทสืบสวนขึ้นศาลที่ทำได้ดี ไม่ผิดหวังอีกเรื่อง ก็ลองดูครับ