ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

ดูหนัง In the Room (2015) ส่องห้องรัก [20+] เต็มเรื่อง

ดูหนัง In the Room (2015) ส่องห้องรัก [20+] เต็มเรื่อง - เว็บดูหนังดีดี ดูหนังออนไลน์ 2020 หนังใหม่ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังตลก , หนังดราม่า

เรื่องย่อ : ดูหนัง In the Room (2015) ส่องห้องรัก [20+] เต็มเรื่อง

ดูหนัง In the Room (2015) ส่องห้องรัก [20+] เต็มเรื่อง

 

6 เรื่องรักอีโรติก ของคน 6 คู่ ที่อื้อฉาวจนถูกแบนห้ามฉายในสิงคโปร์ ผู้กำกับต้องตัดหนังเวอร์ชั่น 2 ออกมา เพื่อให้ได้เรท R21 ผู้กำกับชื่อดังชาวสิงคโปร์ เอริก คู กลับมาพร้อมกับผลงานชิ้นใหม่ที่ทวีความท้าทายยิ่งกว่างานครั้งผ่าน ๆ มา In the Room หนังรักอีโรติก ที่ฉากหลังของเรื่องเป็นโรงแรมสมมติแห่งหนึ่งชื่อว่า Hotel Singapura อันเป็นโรงแรมขนาดใหญ่โอ่โถงงดงาม และยืนยงอยู่คู่ประเทศสิงคโปร์มานานหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งผุกร่อนและต้องปิดตัวไปในปัจจุบัน หนังจะพาผู้ชมย้อนกลับไปเยี่ยมชมประวัติศาสตร์ของมัน ผ่านเหตุการณ์ 6 เหตุการณ์ 6 เรื่องรักของคน 6 สัญชาติ สิงคโปร์, ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ฮ่องกง, อังกฤษ ในห้องพักหมายเลข 27 ซึ่งเกิดขึ้นต่างยุคต่างสมัยกัน แต่เหตุการณ์เหล่านั้น มันกลับสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของสิงคโปร์ได้อย่างแหลมคม เอริก คู พาผู้ชมเดินทางกลับไปยังยุค 40 สมัยที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองสิงคโปร์ ก่อนจะข้ามไปยังยุค 60 อันเป็นยุคสร้างเนื้อสร้างตัวของประเทศ จากนั้นก็สำรวจความบ้าคลั่งของยุค 70 ไล่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนับรวม 7 ทศวรรษ ตัวละครที่ปรากฏอยู่ใน In the Room นั้นเป็นคนหลายชาติหลายภาษา แต่จุดร่วมหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือ พวกเขาเข้ามาพักที่ Hotel Singapura เพื่อ "ร่วมรัก" มันเป็นทั้งการร่วมรักที่เร่าร้อน, เร้นลับ, หฤหรรษ์, เศร้าสร้อย เป็นภาพบันทึกของความผิดหวัง และความทรงจำที่ขาดห้วง แม้ภายนอก In the Room จะเป็นหนังที่ขายความอีโรติก (แบบราชาหนังโป๊ ซัลแมน คิง) แต่เนื้อในของมันนั้น พูดถึงรักที่ไม่สมหวัง และพูดถึงประวัติศาสตร์ร่วมของคนหลายเชื้อชาติ ต่อประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ In the Room ออกฉายในหลายเทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก และได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้ชมรวมถึงนักวิจารณ์ แต่กลับมีปัญหากับคณะกรรมการเซ็นเซอร์ของสิงคโปร์ หนังได้เข้าฉายในเทศกาล แต่กลับถูกแบนเมื่อต้องเข้าฉายในวงกว้าง จนทำให้ เอริก คู ต้องตัดหนังอีกเวอร์ชั่น เพื่อให้หนังได้เรท R21

IMDB : tt4076164

คะแนน : 4.7

รับชม : 7673 ครั้ง

เล่น : 2773 ครั้ง




หนังร้อนแรงจากสิงคโปร์ที่แรงจนถึงขนาดโดนแบนในประเทศตัวเอง ซึ่งเราว่าที่โดนแบนคงเป็นเพราะนอกจากฉากโป๊แล้ว ประเด็นการตั้งหน้าตั้งตาจิกกัดและวิพากษ์ประวัติศาสตร์สังคมการเมืองในประเทศตัวเองนี่แหละ นี่คงทำให้รัฐบาลเค้าออกจะเกลียดหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
6 เรื่องรักใคร่ที่เกิดขึ้นในห้องหมายเลข 27 ณ Singapura Hotel มีทั้งคู่รักเกย์รุ่นใหญ่ต่างสัญชาติที่พูดคุยถกเถียงกันถึงชีวิตในวันข้างหน้า กับวันที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังระอุ, หญิงงามเมืองรุ่นใหญ่สอนเซ็กส์ให้รุ่นน้องเพื่อเอาชนะสังคมชายเป็นใหญ่ ในยุค 50s, นักแต่งเพลงหนุ่มพบรักกับเมดสาวของโรงแรม ในยุค 60s, เข้าสู่ยุค 70s กับคู่รักชาวไทย ที่ฝ่ายกะเทยสาวเดินทางมาเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศที่สิงคโปร์ และตัดสินใจมีเซ็กส์เพื่อบอกลาเจ้าโลกของเธอเป็นครั้งสุดท้าย, ส่วนปี 80s ก็เป็นเรื่องของคุณนายสาวชาวญี่ปุ่นที่นัดพบกับกิ๊กหนุ่มในห้อง 27 เพื่อร่วมรักกันทั้งวันทั้งคืน จนมาถึงยุคปัจจุบันกับเรื่องของเพื่อนที่แอบรักเพื่อน เมื่อสาวเกาหลีอกหัก เพื่อนหนุ่มคนซื่อก็พาเธอมาเที่ยวสิงคโปร์เพื่อลืมรัก แต่มันจะลงเอยด้วยดีจริงหรือ

แม้บรรยากาศ ทีท่า และอารมณ์ของแต่ละเรื่องจะแตกต่างกันสุดขั้ว จนทำให้จังหวะในการเล่าเรื่องไม่ราบรื่นเท่าไหร่ แต่น่าแปลกที่นักแสดงเกือบทั้งหมด มีทิศทางการแสดงไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งๆ ที่แต่ละคนก็มีคาแร็คเตอร์ จังหวะ และสัญชาติแตกต่างกันไป และในเมื่อมีกันถึง 6 เรื่องย่อย ก็ต้องมีเรื่องที่ชอบมากชอบน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย เราชอบพาร์ตเกาหลีมากที่สุด ความกระอักกระอ่วน ความมีชีวิตเลือดเนื้อของคาแร็คเตอร์ และนักแสดงมีเสน่ห์มาก ฉากที่ Choi Woo Shik นอนสะอื้นทำเราน้ำตาไหลอาบ ส่วนพาร์ตที่ชอบน้อยที่สุดก็คือพาร์ตความสัมพันธ์ของสองหนุ่มต่างสัญชาติในตอนต้นเรื่อง ที่หนังให้เวลาน้อยมาก และไม่ได้มีประเด็นอะไรสำคัญ นอกจากการเกริ่นนำและสะท้อนภาพสังคมการเมืองในสิงคโปร์

ตอนแรกๆ พยายามดูหนังโดยคิดหาจุดเชื่อมโยงกับการวิพากษ์สิงคโปร์ตลอด แต่พบว่า มันทำให้เราดูหนังไม่สนุก ตอนหลังเลยปล่อยตัวไปโฟกัสกับเรื่องและอารมณ์ของตัวละครดีกว่า ซึ่งก็กลายเป็นการดูหนังที่สนุกมาก ทว่าการที่หลังบิดกลับมาตลบให้เราคิดถึงสภาพเมืองสิงคโปร์อีกครั้งในฉากสุดท้าย ก็กลายเป็นการกระตุ้นให้เราคิดย้อนไปมองสิงคโปร์ในมุมประวัติศาสตร์คู่สังคมการเมืองอยู่ดี หากจะต้องมีอะไรติติง ก็คงเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป และตั้งหน้าตั้งตาจิกกัดด่าทอประเทศตัวเองนี่แหละ ที่เราว่า บางอย่างมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น (มั้ง)