American Beauty เล่าถึงเหล่าตัวละครที่ต้องการความงดงาม (Beauty) ตามวิถีทางของตัวเอง และสำหรับตัวเอกของเรา”ความงดงาม” มันคือตัวแทนของอิสระที่เขาต้องการ และเคยมีด้วยซ้ำไป แต่ดันต้องสูญเสียมันไปด้วยปัจจัยหลายๆอย่างในชีวิต
หนังเล่าถึงเลสเตอร์ (Kevin Spacey) ชายวัยทอง ที่ช่วงหลังเขาเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันขาดอะไรไปซักอย่างนะครับ แถมภรรยาก็ยังไม่สนใจใยดีเขาซักเท่าไหร่ จนกระทั่งเขาได้เจอกับ แองเจล่า (Mena Suvari) เพื่อนของเจน (Thora Birch) ลูกสาวแท้ๆของตัวเอง ที่ก็ดูสนใจเขาอยู่ไม่น้อย มันก็ทำเอาเขาคิดไปไกลนะครับ แถมเขายังได้พบกับเด็กหนุ่มอย่างริกกี้ (Wes Bentley) ที่ยิ่งกระตุ้นทำให้เขาอยากกลับไปใช้ชีวิตโลดโผนเหมือนอย่างเคย
หนังค่อนข้างโฟกัสกับปัญหาวิกฤตวัยกลางคน กับความต้องการคืนพลังอำนาจในตัวเอง ของเลสเตอร์นะครับ เรียกได้ว่าเขามาถึงจุดที่ไม่ต้องการให้ใครมาสั่งว่าชีวิตเขามันต้องเป็นยังไงอีกแล้ว
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ Sam Mendes ครับ ซึ่งปีที่แล้วหลายๆคน ก็อาจจะได้ชมผลงานล่าสุดของเขาอย่าง 1917 ไป โดยนี่เป็นผลงานการกำกับหนังใหญ่ครั้งแรก หลังจากก่อนหน้านี้มีเครดิตในวงการละครเวทีมามากมาย
ใครมันจะไปคิดล่ะครับ ว่าการจับงานกำกับหนังใหญ่ครั้งแรกของเขามันจะไปสร้างปรากฏการณ์ในเวทีออสการ์ โดยตัวหนังกวาดรางวัลไปถึง 5 สาขานะครับ ประกอบไปด้วย ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และกำกับภาพยอดเยี่ยม
นับว่าหนังดีกรีไม่ธรรมดาเลย เอาจริงๆ ก็มีข่าวมาบ้างนะครับ ว่า Sam Mendes ตอนถ่ายทำฉากแรกๆ แกก็ยังแอบประหม่าอยู่ เลยกลายเป็นเออออตามทุกฝ่ายไปหมด ผลลัพท์ไม่เป็นตามคาดซักเท่าไหร่ ขนาดที่พอหนังถ่ายเสร็จแล้ว แกถึงกับต้องไปคุยกับทางสตูดิโออย่าง DreamWorks เลยครับ ว่าไอ้ตัวฟุตเทจที่เขาถ่ายไว้ 3 วันแรกเนี่ยมันใช้ไม่ได้นะ ถ้าเขาขอถ่ายใหม่ ทางสตูดิโอจะให้ถ่ายรึเปล่า โดยคำพูดที่เขาไปขอนี่ก็ทัศนคติน่าชื่นชมครับ
"นักแสดงเล่นใหญ่ไป มันถ่ายได้แย่ ความผิดผมเอง จังหวะแย่ ความผิดผมเอง ชุดแย่ นั่นก็ความผิดผมเอง ทุกคนเขาทำตามที่ผมขอ มันเป็นความผิดของผมคนเดียว" Sam Mendes ผู้กำกับกล่าว
คือตัวหนังมันถือว่าเดินเรื่องเร็วเลยนะครับ แต่ด้วยการกำกับของ Sam งานภาพที่ดูเรียบง่าย รวมถึงเหล่านักแสดง ที่ขับเคลื่อนหนังกันได้ดี มันทำให้อารมณ์หนังมันไม่ติดขัดนะครับ คือรวดเร็ว แต่เราได้สารที่ต้องการจะสื่อ และได้ซึบซัมอารมณ์ของเหตุการณ์พอสมควร
ด้านนักแสดงคนที่ต้องชมมากที่สุดคือ Kevin Spacey นะครับ เขาได้ฝากการแสดงที่สำหรับผมนะ ดีที่สุดในอาชีพเลยกับหนังเรื่องนี้ คือเขาแสดงเป็นคนธรรมดาแต่เล่นได้ไม่ธรรมดานะครับ การใช้สีหน้าแววตาต่างๆ ที่เป็นจุดขายของเขา คราวนี้เอามาใช้ได้ถูกจุดจริงๆ กับหนังเรื่องนี้
ระหว่างที่ดูผมออกแนวทั้งสงสาร ทั้งขำกับเลสเตอร์นะครับ คือจุดประสงค์ของเขา มันจะน่าดีใจด้วย มันก็ไม่ใช่ จะบอกว่ามันทำให้เขากำลังแย่ลง มันก็ไม่เชิงอ่ะ เขาแค่เป็นคนที่รู้สึกเสียพลังในตัวเอง อย่างที่เขาบ่นๆในเรื่องนะครับ ว่าเขาขาดพลังในการเซอไพรส์ตัวเองมานานแล้ว จนถึงคราวที่เขารู้สึกว่าต้องเรียกความรู้สึกแบบนั้นกลับมาให้ได้
รวมๆแล้วหนังมันเอนเตอร์เทน เป็นมิตรกับคนดู แถมยังมีอะไรให้น่าเก็บไปคิดอีก ใครเป็นคอหนังอยากให้ลองหามาดูชมครับ