หมวดหมู่ : หนังผจญภัย , หนังตลก , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi
เรื่องย่อ : ดูหนัง Doraemon The Movie 2008 โนบิตะกับตำนานยักษ์พฤกษา ตอนที่ 28 เต็มเรื่อง
วันหนึ่งเมื่อ โนบิตะ และเพื่อนๆ พากันไปที่ภูเขาหลังโรงเรียน จู่ๆ ก็มีน้ำวนยักษ์ปรากฏขึ้นมา น้ำวนนั้นดูดพวกเขาเข้าไป และพาพวกเขาไปยังดาวแห่งสีเขียว โลกแสนประหลาดที่มีต้นไม้ยักษ์แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ เหล่าพืชที่นั่นมีวิวัฒนาการจนสามารถพูดได้เหมือน คิโบะ
IMDB : tt1180304
คะแนน : 6.3
รับชม : 3868 ครั้ง
เล่น : 1400 ครั้ง
เริ่มต้นจากการที่โนบิตะไปเก็บเอาต้น อ่อนมาจากภูเขาหลังโรงเรียน และโนบิตะได้ใช้ยาวิเศษของโดราเอมอนทำให้ต้นอ่อนเคลื่อนไหวและพูดเองได้ โนบิตะตั้งชื่อให้ว่า "คีโบ" วันหนึ่งเมื่อทุกคนพากันไปที่ภูเขาหลังโรงเรียนจู่ๆก็มีน้ำวนยักษ์ปรากฏขึ้น มา แล้วก็ดูดพวกโนบิตะเข้าไปและพาพวกเขาไปยังโลกอันแสนประหลาดที่มีต้นไม้ยักษ์ แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ที่มีชื่อว่า "ดาวแห่งสีเขียว" ซึ่ง มีพวกพืชที่มีวิวัฒนาการจนสามารถพูดได้เหมือน อย่างคีโบปกครองอยู่โดยมีเจ้าหญิงรีเรเป็นผู้นำและอำมาตย์ใหญ่ชีร่าผู้วาง แผนลับเพื่อปกป้องอนาคตของดาวสีเขียวเอาไว้เป็นผู้รับใช้อยู่เบื้องหลัง
โนบิตะ โดราเอมอน และเพื่อน ๆ จะทำเช่นไร? เพื่อกลับคืนสู่โลกเดิมของตน และตำนานคนยักษ์สีเขียวในตำนานคืออะไรกันแน่
มุมมองของSoma
หวังมาก พลาดทีก็ผิดหวังมาก เริ่มต้นคงต้องบอกจริงๆว่า ผมหวังกับภาคนี้ไว้ค่อนข้างสูงในระดับืที่มากพอสมควร ด้วยคอนเซปที่น่าสนใจมาก + กับตอนที่แล้วอย่างแดนเวทย์มนต์ที่ทำออกมาในเกณฑ์ที่สุดยอด จึงค่อนข้างหวังกับภาคนี้สูงพอสมควร แต่เมื่อดูจบแล้ว ก็เหมือนกับกระผมคาดหวังมากเกินไปจริงๆ
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ภาคนี้มันไม่เด็ดดวงเท่า2ภาคที่แล้วคือ เรื่องของบท อย่างที่รู้กันว่า ภาคตำนานยักษ์พฤกษานั้น ไม่ใช่ภาครีเมค แต่เป็นภาคที่นำตอนสั้นของอาจารย์ฟูจิโอะมาเพิ่มเติมเข้าไปนั้นเอง (เพิ่มเติมจากโดราเอม่อนซีรีย์ ฉบับที่33 ตอนสุดท้าย) บทของภาคนี้มันให้ความรู้สึกว่า เฮ้มันน่าจะมากกว่านี้นะ เฮ้อันนี้มันยืดไปไหม? โดยต้องบอกก่อนว่า สิ่งที่ทีมงานภาคนี้ทำได้ไม่เวิร์คพอคือ คือความสัมพันธ์ระหว่างคีโบกับโนบิตะ ไม่พีคพอที่จะเชียร์ ครับ ขอยกตัวอย่างตอนไดโนเสาร์ล่ะกัน ตลอดทั้งเรื่องนั้นจะเน้นที่ความสัมพันธ์ของตัวโนบิตะกับพีสุเกะ จนทำให้เราผูกพันธ์ และพร้อมที่จะเสียน้ำตาในตอนสุดท้ายของเรื่องได้
แต่ภาคนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น
ภาคนี้กับเน้นตัวคีโบมากเกินไป จนเลือกที่จะไม่ใส่ใจเรื่องของความสัมพันธ์ของโนบิตะกับคีโบ เรียกง่ายๆว่า ภาคนี้ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ที่เป็นฉากเด็ดนั้นน้อยมาก ตั้งแต่ตัวเรื่องนำเราเข้าไปสูดาวพฤกษา เรื่องกลับเน้นที่ตัวคีโบมากเกินไป จนเหมือนทีมหลักของเรื่องนั้นเป็นตัวประกอบไปทันที (ยังดีที่โนบิตะยังเด่น นอกนั้นเรียกได้ว่าตัวประกอบ แม้กระทั้งแมวสีฟ้าของเรา) จึงทำให้รู้สึกว่า ตัวของคีโบกับโนบิตะนั้นมีความสัมพันธ์ผ่านๆมากกว่าที่จะแบบว่า 2คนนี้ผูกพันธ์ จึงทำให้ฉากในตอนสุดท้าย ไม่พีคพอที่จะเสียน้ำตา ตามสไตล์โดราเอม่อน
จุดที่2 คือการที่เรื่องราวในช่วงท้ายรวดเร็วจนตามไม่ทัน
ไม่รู้ผมแก่ไปรึเปล่านะ แต่ผมมิอาจสามารถเก็ทช่วงท้ายของเรื่อง ในเรื่องการครองโลกของชนเผ่าสีเขียว มันสื่อได้ไม่ค่อยเข้าใจมากมายนัก ใช่ที่ว่าชนเผ่าสีเขียวต้องการครองโลก แล้วเกิดอะไรขึ้นกับโลกของชนเผ่าสีเขียว ทำไมโลกถึงกลับมา? อีกทั้งยังมีหลายจุดที่ดูเหมือนจะขาดเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือ มันเหมือนตัดชับๆ ผ่านไปเร็วมาก จนบางจุดผมมิอาจทำความเข้าใจกับมันได้ทัน ทั้งที่ความจริงภาคนี้มีความยากมากที่สุดในบรรดาภาคที่สร้างใหม่ (2ชั่วโมงเต็ม) แต่กลับรวบรัดในช่วงท้ายของเรื่องอย่างไม่น่าให้อภัย
แต่หากใช่ว่า ตัวบทนั้นจะไม่มีจุดดี เพราะตัวคีโบที่เรื่องนี้เน้นนั้น ทำมาได้ดี รู้สึกว่าคีโบนั้นน่ารักน่าเอ็นดู เหมือนเด็กที่ต้องการเรียนรู้ อีกทั้งยังสร้างองค์หญิงของตำนานพฤกษาได้น่าโมเอะมากมาย
แต่จุดเด่นของบทภาคนี้คือตรงนี้ครับ
จุดเด่นบทภาคนี้ อย่างที่ผมบอกว่า โดราเอม่อนภาคนี้ไม่สามารถทำให้รู้สึก สนุกมากแบบ2ภาคที่แล้วได้ แต่ในทางกลับกัน โดราเอม่อนภาคนี้ กลับเป็นภาคที่มีคำสอนที่เด็ดๆมากมาย ซึ่งเชื่อว่าเจตนาของทีมงานภาคนี้ อยากให้คนรักธรรมชาติมากขึ้น อีกทั้งยังซ่อนคำสอนของปรัชญาการมีชีวิตอย่างแนบเนียนเอาไว้ในช่วงท้ายด้วย ภาคนี้จึงแอบซ่อนคำสอนเกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติไว้มากมาย (แอบไปดูชื่อคนทำบท มันเคยเขียนบทRaxephon Movie มิน่า…….)
แต่ที่ผมชอบที่สุดคือ นิทานของชนเผ่าเมืองสีเขียว ที่เล่าว่า โลกใบนึง เมื่อมีคนอ้างว่าเป็นของข้า มันจะเริ่มมีคนอ้างว่าเป็นของข้ามากขึ้น จนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะทำสงครามกัน
แต่จุดที่เป็นไม้ตายของภาคนี้ เรียกได้ว่าต้องยอมยกนิ้วให้คือ งานภาพและดนตรีประกอบ งานภาพคงต้องขอบอกก่อนว่า ทีมงานทำภาคนี้ถือว่าเด็ดมาก บรรยากาศภาคนี้ที่ร่มเย็นแบบธรรมชาติ ทีมสร้างนี้สามารถทำให้ภาพที่ออกมารู้สึกร่มเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขอบอกเลยว่า ฉากภายในเมืองของโนบิตะภาคนี้ถือเป็นภาคแรก ที่ไม่รู้สึกวุ่นวาย แต่มันรู้สึกเหมือนบ้านนอกต่างจังหวัดซักที่นึงมากๆ รวมทั้งฉากในโลกสีเขียว ซึ่งในเมืองยังไม่เท่าไร ผมขอให้ทุกท่านไปดูฉากตอนเจอหมู่บ้านชนเผ่าสีเขียวพื้นบ้าน ฉากนั้นแหละที่เรียกได้ว่าต้องยกนิ้วยอมแพ้จริงๆ
งานดนตรีภาคนี้นับได้เลยว่า เป็นภาคที่ทำดนตรีประกอบได้ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาภาคที่ทำใหม่ ดนตรีประกอบหลายเพลงที่นอกจากให้ความรู้สึกว่าร่มเย็นแล้ว มันยังแสดงถึงความมีพลังอย่างสูง อีกทั้งเพลงจบของภาคนี้ ยังทรงพลังสมกับตัวเรื่องด้วย จนเรียกได้ว่าถ้าผมต้องปรบมือ ก็ขอปรบมือกับทีมที่ทำเพลงและภาพของภาคนี้จริงๆ
สรุป : ถือเป็นโดราเอม่อนที่ผมค่อนข้างผิดหวังเรื่องบท อันเนื่องมาจากมันมีหลายอย่างขาดไป แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ความสนุกมาตราฐานของโดราเอม่อน Movie แต่สิ่งที่ภาคนี้ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมคืองานภาพ และ งานดนตรี ถึงแม้ว่าโดราเอม่อนภาคนี้สำหรับผม มันจะดีน้อยที่สุดในบรรดาภาคที่สร้างใหม่ แต่นี้คือโดราเอม่อน ที่มอบคำสอนมากที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมาครับ