ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

ดูหนัง Before We Go (2014) ก่อนเราจะจากกัน เต็มเรื่อง

ดูหนัง Before We Go (2014) ก่อนเราจะจากกัน เต็มเรื่อง - เว็บดูหนังดีดี ดูหนังออนไลน์ 2020 หนังใหม่ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังตลก , หนังดราม่า , หนังสยองขวัญ

เรื่องย่อ : ดูหนัง Before We Go (2014) ก่อนเราจะจากกัน เต็มเรื่อง

ดูหนัง Before We Go (2014) ก่อนเราจะจากกัน เต็มเรื่อง

 

 

เรื่องย่อ Before+We+Go


         เรื่องราวของ Before We Go เล่าการพบกันของชายหญิงต่างที่มา โดยหญิงสาวที่ชื่อว่า แอ็บบี้ ถูกปล้นในนิวยอร์กจนทำให้เธอพลาดรถไฟกลับบ้านในบอสตัน ซึ่งนั่นทำให้เธอติดอยู่ในเมืองใหญ่โดยไม่มีเงินและเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามนับเป็นโชคดีของเธอที่ได้พบกับ พีท นักดนตรียาจกที่อาสาพาเธอกลับบ้านให้ได้ โดยทั้งสองคนใช้เวลาทั้งคืนร่วมกันพร้อมการออกสำรวจเมืองใหญ่และแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตซึ่งกันและกัน

IMDB : tt0443465

คะแนน : 6.8

รับชม : 936 ครั้ง

เล่น : 393 ครั้ง




ผมรักหนังเรื่องนี้เข้าเต็มๆ เลยครับ

หลังดู Before We Go จบ ผมรู้สึกประทับใจแบบเดียวกับตอนดู Before Sunrise จบน่ะครับ ซึ่งอันนี้ผมจะไม่มาเปรียบว่าเรื่องไหนดีกว่ากันนะครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว Before Sunrise มันขึ้นหิ้งในใจมานานเกือบ 20 ปี อีกทั้งยังมีภาค Sunset และ Midnight มาตอกย้ำอีก ดังนั้นหนังชุด Before Sunrise มันจึงกลายเป็น "หนังโดนระดับ Top ในความทรงจำ" ของผมไปแล้ว

แต่ที่อยากจะบอกก็คือ Before We Go ก็กำลังจะเป็น "หนังโดนในความทรงจำ" (ที่สักวันอาจถึงขั้น Top หากดูซ้ำอีกสักหน่อย) ของผมอีกเรื่องเหมือนกัน

จริงๆ Before We Go ก็มาทางเดียวกับ Before Sunrise นั่นแหละครับ เรื่องของชายหนุ่มนามว่านิค (Chris Evans) ที่ได้พบเจอกับหญิงสาวนามว่าบรู๊ค (Alice Eve) ในค่ำคืนหนึ่งที่นิวยอร์ก

บรู๊คตกรถไฟครับ แล้วเธอก็เพิ่งโดนขโมยกระเป๋า เลยไม่มีเงิน ไม่มีบัตร มือถือก็เจ๊งอีก แต่พอดีทีนิคเห็นเธอกำลังเดือดร้อนเลยพยายามหาทางช่วย ซึ่งตอนแรกบรู๊คก็ไม่ไว้ใจนิค ส่วนนิคเองก็ชอบทำตัวกวนๆ ก็เลยเหมือนจะเริ่มกันไม่สวยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพวกเขาได้รู้จักกันมากขึ้น แล้วความรู้สึกดีๆ ก็ก่อตัวในคืนนั้น

ว่าตามจริงหนังไม่ได้มีอะไรใหม่ครับ แต่มันโดนใจผมในหลายส่วน

+ อย่างแรกเลยก็คือ 2 ดารานำที่ผมจัดว่าลงตัวมากๆ เคมีทั้งคู่มันพอเหมาะกันน่ะครับ และที่ผมชอบที่สุดคือ ทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกว่า "ผมยินดีอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาไปจนเช้าเลย"

ณ ที่นี้ไม่ได้หมายถึง Alice Eve สวยเลยอยากเดินเล่นด้วยทั้งคืนนะครับ แต่มันรู้สึกประมาณว่าจูนติดน่ะ เหมือนเจอคนแปลกหน้าแต่รู้สึกถูกชะตา พอจะเป็นเพื่อนกันได้ แล้วก็พร้อมจะช่วยเหลือหรือไม่ก็อยู่เป็นเพื่อนกับเขา จนกว่าเขาจะพ้นปัญหา ผมเชื่อว่าใครเคยเจอความรู้สึกแบบนี้จะเข้าใจครับ คือเราไม่ได้รู้จักเขามาก่อนหรอก แต่เรารู้สึกโอเคที่จะช่วย ช่วยจนกว่าเขาจะหมดปัญหา หรือไม่ก็ยินดีคุยต่อเพราะรู้สึกสบายใจและถูกคอที่จะคุย

นี่แหละครับที่ผมรู้สึกกับ นิคและบรู๊ค... รู้สึกจูนติดจริงๆ

+ สิ่งที่ชอบถัดมาก็เป็นอะไรเดิมๆ ที่คนอ่านรีวิวผมประจำน่าจะรู้ครับ... ฉากไงครับ หนังเรื่องไหนฉากสวย โลเกชั่นได้อารมณ์ ก็จะได้ใจผมไปทันที และเรื่องนี้ก็ไปถ่ายทำกันที่นิวยอร์กนั่นแหละครับ ซึ่งมันก็เข้าทางผมอยู่แล้วล่ะ ฉากถนนหนทางยามค่ำคืน ภาพตึกรามบ้านช่องที่เต็มไปด้วยแสงไฟ (นิวยอร์กได้ชื่อว่า "นครไม่เคยหลับ" อยู่แล้ว) ถือว่าถ่ายทอดออกมาได้พอเหมาะครับ

คนที่กำกับภาพก็ไม่ใช่ใคร เขาคือ John Guleserian ที่เคยทำหน้าที่นี้ให้กับหนังดีภาพสวยเนื้อเรื่องงามอย่าง About Time นั่นเอง

สำหรับผมแล้ว หนังแนวรักหรือดราม่าที่มีฉากตัวละครเดินคุยกันยามค่ำนั้น จุดวัดความโดนก็คือ "หนังจะสามารถทำให้ผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาในใจ ท่ามกลางฉากยามค่ำที่ดูหนาวเหน็บได้ไหม"

และสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกถึงอุ่นไอเหล่านั้นครับ เวลานิคกับบรู๊คเดินไป หรือนั่งคุย มันรู้สึกนะว่าเมืองน่ะหนาว แต่สำหรับพวกเขาสองคน มันมีไออุ่นก่อตัวขึ้นมา แล้วไออุ่นที่ว่าก็แผ่มาถึงคนดูอย่างผมด้วย

+ อย่างที่ 3 ที่ชอบคือบทครับ แน่นอนว่ามันง่ายๆ แล้วก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่การนำเสนอมันน่าติดตามดี คือ ณ ตอนต้นเรื่องผมก็รู้สึกแหละครับว่านิคก็มีปมในใจ บรู๊คก็มีปม แต่เนื่องจากทั้งคู่เพิ่งเจอกัน ต่างฝ่ายต่างก็เก็บปมไว้ ไม่เอ่ยถึง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปมก็ค่อยๆ เผย เราก็ค่อยๆ ได้รู้เกี่ยวกับพวกเขามากขึ้น ซึ่งการค่อยๆ เปิดปมแบบนี้ก็ชวนให้ผมตามดูเหมือนกันครับ อยากรู้น่ะว่าพวกเขาไปเจออะไรมา และอยากรู้ต่อไปว่า พวกเขาจะเผชิญกับแต่ละปมได้อย่างไรบ้าง

จุดหนึ่งที่ Before We Go ต่างจาก Before Sunrise ก็คือ ใน Sunrise นั้นตัวละครยังหนุ่มสาวครับ สิ่งที่พวกเขาคุยมักจะออกแนวสัพเพเหระ ไล่ตั้งแต่ชีวิต ปรัชญา การเมือง ไปจนถึงความรัก ในขณะที่ We Go นั้น 2 ตัวเอกมีปมในใจว่าด้วยความรัก การพูดคุยก็เลยอาจจะไม่กว้างและไม่หลากหลาย แต่ก็ถือว่ามีประเด็นชัดเจนที่จะสื่อ และมีการลงลึกในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งจุดนี้จัดว่ามาในสไตล์ Before Sunset แทน

เมื่อพูดถึงจุดนี้ ผมมองว่าคนที่จะอินไปกับ We Go ได้นั้น ก็คงต้องผ่านชีวิตรักมาในระดับหนึ่งครับ ว่าง่ายๆ คือต้องเคยฝันกลางวัน เคยรัก เคยสมหวัง และเคยอกหักมาก่อน (แอบคิดเหมือนกันครับว่าหากผมดูเรื่องนี้ตอนอายุ 20 กับดูเรื่องนี้ตอนอายุ 30 มันจะรู้สึกต่างกันไหมหนอ)

+ อย่างที่ 4 ที่ผมชอบ คือหลายๆ โมเมนท์ในเรื่องน่ะครับ ต้องบอกว่าแต่ละโมเมนท์ที่ร้อยเรียงกันมาเป็นหนังเรื่องนี้ มีอะไรให้ผมชอบเกือบทุกฉาก ถ้าไม่ชอบฉากก็ชอบอารมณ์ ไม่ชอบอารมณ์ก็ชอบบทพูด ไม่ชอบบทพูดก็ชอบการแสดงของดารา ฯลฯ

ฉากหนึ่งที่ชอบมากๆ คือตอนนิคกับบรู๊คไปหาหมอดูน่ะครับ ซึ่งถ้าถามว่าทำไมชอบก็ตอบได้ว่า เพราะหมอดูคนนั้นไม่ใช่หมอดูแบบฟันธงคอนเฟิร์มชีวิตชาวบ้าน แต่เป็นชายชรานิสัยดีที่นั่งแนะนำแนวทางชีวิตให้กับคนหนุ่มคนสาว โดยใช้ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาหลายสิบปีของตัวเองเป็นเข็มทิศช่วยนำทาง

บทหมอดูผู้น่ารักคนนี้แสดงโดย John Cullum ดาราหนังทีวีที่บ้านเราอาจไม่ค่อยรู้จักนัก แต่หากเป็นคอหนังรุ่นเก่าก็น่าจะจำเขาได้จากหนังมหันตภัยนิวเคลียร์เมื่อ 30 กว่าปีก่อน เรื่อง The Day After ซึ่งกับหนังเรื่องนี้ ท่านก็แสดงได้อย่างน่าปรบมือครับ ทั้งน่ารัก จริงใจ และเปี่ยมด้วยความเมตตาปรารถนาดี (แบบที่ผู้ใหญ่ใจดีมีให้กับเด็กๆ น่ะครับ)

นอกจากนี้ยังมีหลายมุขครับที่หนังนำมาใช้ได้แบบพอเหมาะ ไม่ว่าจะมุข "โทรศัพท์ไปอดีต" ที่สร้างความประทับใจได้มากกว่าที่คิด หรือบทสรุปในฉากสุดท้ายที่ลูกเล่นนี้เป็นลูกเล่นที่จับใจคอหนังได้เสมอ (หนังจบยังไง ลองไปดูกันนะครับ)

เอาล่ะ ผมหลีกเลี่ยงสปอยล์มาพอสมควร แต่สิ่งที่ผมชอบอย่างต่อไปก็คงมีสปอยล์แล้วล่ะครับ ดังนั้นขอขึ้นเตือนไว้ตรงนี้ก่อน (แต่โดยส่วนตัวผมว่ามันไม่ใช่การสปอยล์ที่ร้ายแรงอะไร ดีไม่ดีมันอาจทำให้คุณอยากดูหนังมากขึ้นด้วย แต่ก็นั่นล่ะครับ ถ้าไม่อยากรู้ก็ขอให้ข้ามไป) เอาเป็นว่าถ้าจะให้สรุปล่ะก็ เรื่องนี้ผมแนะนำให้ดูครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ขอสรุปแบบง่ายๆ แล้วกันครับว่า นี่คือหนังรักสไตล์ Before Sunrise ที่ทำออกมาได้ใจผมมากทีเดียว

อยากให้ลองลิ้มกันครับ เพราะคุณอาจชอบมันแบบที่ผมชอบก็ได้ ^_^

แถมเกร็ดหนังเรื่องนี้นะครับ ตอนแรกโปรเจคท์หนังเรื่องนี้ทำท่าจะสร้างตั้งแต่ปี 2008 แล้วครับ ตอนนั้นผู้กำกับคือ Joel Schumacher และจะมี Monica Bellucci นำแสดง และหนังจะใช้ชื่อว่า 1:30 Train แต่ในที่สุดโปรเจคท์ก็หยุดไปจนกระทั่งเดือนสิงหาคมปี 2013 เมื่อ Evans ก้าวเข้ามาทั้งนำแสดงและกำกับ (แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ฉายในวงกว้าง)