ผมเชื่อว่าคอหนังที่โตมากับยุค 90 น่าจะจำหนังเรื่องนี้ได้ครับ เพราะก่อนการมาของ Titanic นั้น Waterworld ได้ชื่อว่าเป็นหนังลงทุนสูงที่สุดนั่นคือประมาณ 175 ล้านเหรียญ (ยังไม่รวมงบโฆษณานะครับ) และผลลัพธ์ที่ได้คือหนังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทำไป 264 ล้านจากทั่วโลก
ดูตัวเลขแล้วเหมือนจะเกินทุนใช่ไหมครับ แต่การคำนวณว่าหนังคุ้มทุนไหมต้องเอาทุนสร้างไปคูณ 2 ครับ เนื่องจากรายได้นั้นจะโดนแบ่งเข้าโรงฉายหนังประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนที่คืนมาสู่สตูดิโอก็ประมาณครึ่งเดียวหรือเกินครึ่งไปก็ไม่มาก
ดังนั้นโดยสรุป Waterworld ก็ยังดีที่ไม่ถึงขั้นล่มรุนแรง เพราะหักกลบดีๆ แล้วบวกด้วยรายได้จากตอนออกวีดีโอและค่าลิขสิทธิ์ก็น่าจะพอโปะได้บ้าง
แต่กระนั้นหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ชนชาวฮอลลีวู้ดแขยงการทำหนังว่าด้วย “น้ำ” ไปพักใหญ่ (จนไม่แปลกใจที่ใครๆ จะพากันมองว่าหนังเกี่ยวกับ “น้ำ” อย่าง Titanic จะไม่น่ารอด… แต่แล้วก็รอด)
หนังเล่าถึงยุคโลกในอนาคตครับ หลังจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายจนทั้งโลกกลายเป็นมหาสมุทร คนที่หลงเหลืออยู่ก็กลายเป็นชนชาวน้ำที่ต้องอาศัยอยู่บนเมืองทุ่นลอย หรือไม่ก็ไปรวมกลุ่มกับพวกอาชญากรตัวร้ายนามว่าดีคอน (Dennis Hopper) ที่คอยระรานแย่งชิงข้าวของเหมือนโจรสลัด
แล้วหนังก็ต้องมีพระเอกครับ เขาไม่มีชื่อเสียงเรียงนามใดๆ (Kevin Costner) เขาเดินทางไปทั่วมหาสมุทร หาของแลกขายดำรงชีพ แล้วโชคชะตาก็นำพาเขาให้พบกับ อีโนล่า (Tina Majorino) เด็กน้อยที่มีลายแทงลึกลับบนแผ่นหลัง ซึ่งเป็นไปได้ว่าลายแทงจะนำไปสู่ “แผ่นดิน” ที่กล่าวกันว่าเป็นพื้นดินแห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้
แต่ก็ตามสูตรครับ ดีคอนตัวร้ายเองก็อยากได้ลายแทงมาครอบครอง เลยตามล่าอีโนล่า ทำให้พระเอกของเราจากเดิมที่ไม่เคยแคร์ใครก็ต้องมาปกป้องเด็กคนนี้และเฮเลน (Jeanne Tripplehorn) สาวแกร่งที่ดูแลอีโนล่ามาโดยตลอด ให้รอดพ้นจากเหล่าคนชั่ว อันนำมาสู่การไล่ล่าผ่าโลกมหาสมุทร
ดูๆ แล้วนึกถึง Mad Max นะครับ เป็นโลกอนาคตที่บ้านเมืองไร้ขื่อแปและเวิ้งว้างพอกัน ต่างกันแค่ใน Mad Max เป็นโลกที่รายรอบด้วยดินแล้งไร้ชีวิต ส่วนเรื่องนี้มีแต่ขอบฟ้าและมหาสมุทร ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะ David Twohy ผู้เขียนบทร่วมของหนังเรื่องนี้ก็ยังบอกว่าแรงบันดาลใจสำคัญของหนังมาจาก Mad Max 2: The Road Warrior นั่นเอง
และที่ต่างกันอีกอย่างคือ… Mad Max อร่อยกว่าเยอะ
Costner ก็มารับบทแนวเดิมๆ ครับ นั่นคือพระเอกแนวแอนตี้ฮีโร่หน่อยๆ ไม่ได้สุภาพน่ารักแต่จะออกแนวกวนบาทาและข้ามาคนเดียว ไม่สนใจใคร ไม่ชอบคบหาใคร แต่แล้วก็ต้องมีเรื่องให้พ่อหนุ่มใจหินคนนี้อ่อนโยนลง ก่อนจะผันตัวมาเป็นพระเอกสู้กับผู้ร้ายอย่างองอาจ
จริงๆ แล้วบทหนังดั้งเดิมของ Peter Rader ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1986 มันไม่ใช่เนื้อเรื่องนี้นะครับ ต้องบอกว่าคนละแนวกันเลย เพราะมันออกแนวแฟนตาซีผจญภัยแบบเด็กๆ แม้แต่ดีคอนตัวร้ายก็ยังเป็นตัวร้ายต๊องๆ แต่งชุดเหมือนกษัตริย์ยุคโบราณ ไม่ได้โหดเหี้ยมเลือดอาบแบบที่เป็นในหนัง จนกระทั่ง Costner เข้ามาคุมงานแล้วก็ตาม Twohy มาแปลงบทจนหนังกลายเป็นแอ็กชันเต็มขั้นแบบนี้ แล้วยังมีข่าวว่า Joss Whedon โดนตามตัวมาเกลาบทในนาทีสุดท้ายด้วย (แต่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีนักสำหรับ Whedon ครับ เขาเลยไม่รับเครดิตใดๆ ทั้งสิ้น)
สำหรับผู้กำกับนั้นทางสตูดิโออยากได้ Robert Zemeckis แห่ง Back to the Future มากุมบังเหียน แต่ Costner ยืนกรานว่าต้องให้เพื่อนซี้ของเขาอย่าง Kevin Reynolds มากำกับเท่านั้น ทางสตูดิโอก็ยินยอมครับ
แต่แล้วระหว่างการถ่ายทำนั้นเอง Costner กับ Reynolds ก็ขัดแย้งกันตลอด ทะเลากันไม่เว้นวัน เพราะ Costner อยากให้หนังเป็นแบบหนึ่ง (เป็นอย่างที่เราเห็นในหนังน่ะครับ) ส่วน Reynolds ก็อยากได้อีกแบบ พอขัดกันมากๆ Reynolds เลยตัดสินใจเดินออกจากกองถ่ายไป Costner ก็เลยกุมบังเหียนทำต่อในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นหลายฝ่ายก็ยอม Costner เพราะชื่อพี่แกตอนนั้นยังขายได้อยู่ และเขายังมีรางวัลออสการ์การันตี (จากการกำกับเรื่อง Dances With Wolves)
สำหรับผลที่ได้นั้น ว่าตามจริงหนังดูเอาเพลินได้ครับ มันลงสูตรสำเร็จอยู่แล้วเพียงแต่โลเกชั่นมันต่างจากเรื่องอื่นตรงที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำของจริง แต่ส่วนที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือ หนังยังดึงลูกเล่นจากทะเลมาใช้ได้ไม่ากนัก เพราะทั้งเรื่องมีแค่การเอาเรือมาไล่ล่ากัน โฉบกันไปยิงกันมา ทำให้การบู๊เต็มไปด้วยข้อจำกัดครับ เพราะเรือเร็วยังไงมันก็เร็วไม่มาก ความเร้าใจจึงไม่เยอะ ไล่ล่ายังไงก็เร่งได้ระดับหนึ่งแค่นั้น
ส่วนพล็อตก็เดาได้ไม่ยากน่ะครับ พระเอกย่อมชนะ เด็กย่อมรอดจากมือผู้ร้าย และสุดท้ายเราก็จะได้เห็นแผ่นดินที่ใครๆ ก็ตามหา เรียกว่าไม่มีอะไรพลิกความคาดหมายเท่าไร
ในหนังจริงๆ ก็มีหลายอย่างที่ผมชอบนะครับ อย่างเจ้าปลาประหลาดกลายพันธุ์ตัวเบิ้มนั้น ก็ทำให้หนังน่าสนใจดี แต่ปัญหาคือมันมีอะไรมาเซอร์ไพร์สไม่มากนัก นอกนั้นก็เหมือนหนังบู๊ไล่ล่าทั่วไป แต่กระนั้นหนังทั่วไปที่บู๊กันบนดินมันก็ยังพยายามนำเสนอสิ่งที่หลากหลายให้กับคนดูด้วยการเปลี่ยนโลเกชั่นไปเรื่อยๆ อย่างขับรถไปพักหนึ่ง แล้วก็แวะกินอาหารที่ร้าน หรืออาจจะเข้าป่าไปเจอเรื่องราว เข้าเมืองไปเจอปัญหา ฯลฯ แต่กับเรื่องนี้โลเกชั่นมีเพียงมหาสมุทรอย่างเดียว สถานที่หลักๆ ก็มีแค่เรือพระเอก, ชุมชนชาวน้ำ หนึ่งแห่ง (ที่มีบทบาทแค่ตอนต้นเรื่อง) และเรือยักษ์ของดีคอน จึงสร้างความหลากหลายได้ยาก อันนี้เห็นใจทีมงานเหมือนกันครับ
ส่วนดีอันอื่นๆ ของหนังก็คือดนตรีอลังการของ James Newton Howard ที่เสริมความมันส์และความยิ่งใหญ่ให้กับหนังได้ค่อนข้างดี ตามด้วยตากล้องที่เชี่ยวในเรื่องช็อตมุมกว้างอย่าง ก็ถ่ายทอดภาพความเวิ้งว้างของโลกมหาสมุทรไว้ได้ดีในระดับหนึ่ง ส่วนดาราในเรื่องก็ไม่มีอะไรให้ติครับ เพราะแต่ละคนเล่นได้สมบทกันอยู่แล้ว ไม่ว่า Tripplehorn หรือ Hopper ที่รายหลังนี่บ้าคลั่งได้ใจเสมอครับกับบททำนองนี้
ผมพอจะเข้าใจ Costner นะครับ เขาคงคิดว่ากำลังสร้างสิ่งใหม่ให้วงการ เพราะหนังว่าด้วยโลกอนาคตที่มีแต่น้ำนั้นมันใหม่จริงๆ ครับ ไม่มีใครเคยทำ แต่หากถอดสมการแล้วจะพบว่าหนังก็คือ Mad Max ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ขณะเดียวกันหนังเกี่ยวกับการผจญภัยลุ้นระทึกกลางมหาสมุทรนั้น ก็เคยมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำไว้ได้ลุ้นจนได้โล่ห์มาแล้ว… เรื่อง Jaws ไงครับ
โดยสรุปแล้ว หนังก็เป็นสูตรสำเร็จที่ให้ความบันเทิงกับคนดูได้ดีในระดับหนึ่งครับ เพียงแต่ยังดีได้อีกในหลายๆ ส่วน ถ้าสามารถเหยาะจินตนาการและอะไรที่มันแปลกใหม่ลงไปในหนังได้ Waterworld ก็น่าได้รับการตอบรับที่ดีกว่าที่เป็นไม่ว่าจะอดีตหรือตอนนี้ก็ตาม