หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังระทึกขวัญ
เรื่องย่อ : ดูหนัง The Gift : ของขวัญวันตาย 2015 เต็มเรื่อง
หลังจากที่ Simon (Jason Bateman จาก Up in the Air, Juno) ได้งานใหม่ เขากับภรรยาของเขา Robyn (Rebecca Hall จาก The Prestige) ก็ย้ายจาก Chicago มาอยู่ที่ Hollywood Hills, Los Angeles ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ Simon เอง และที่นั่นเอง สองสามีภรรยาได้พบกับ Gordo (Joel Edgerton จาก The Great Gatsby, Warrior, Exodus: Gods and Kings) เพื่อนร่วมรุ่นสมัยไฮสคูลของ Simon
Gordo พยายามเป็นมิตรจนเกินพอดีกับครอบครัวของ Simon โดยการแวะมาเยี่ยมเยียน ทานดินเนอร์ และหมั่นส่ง “ของขวัญ” มาให้เสมอๆ ซึ่งนั่นทำให้ Simon รู้สึกแปลกๆ และไม่โอเคที่ Gordo ชอบมาบ้านของเขาในเวลาที่เขาออกไปทำงานและ Robyn อยู่บ้านคนเดียว
IMDB : tt4178092
คะแนน : 7
รับชม : 471 ครั้ง
เล่น : 121 ครั้ง
เวลาแกะห่อของขวัญ โดยเฉพาะ unexpected gifts เนี่ย เราจะลุ้นเป็นพิเศษใช่มั้ย? และก็มักจะเดาของข้างในกล่องของขวัญนั้นไม่ค่อยจะถูกด้วยจริงมั้ย? ดีไม่ดีบางทีก็มโนไปแล้วว่ามันอาจจะเป็นกล่องระเบิดก็เป็นได้จริงมั้ย? – นั่นแหละ นั่นคือธีมของหนังเรื่องนี้ เวลาดู The Gift เราก็รู้สึกคล้ายๆ ประมาณนั้นเลย
ตอนนั่งดู The Gift อยู่ในโรงนี่ฟุ้งมาก สมองก็คิด จิตก็ผวาตลอดเวลา แถมระดับความจิตมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที ยิ่งดูก็ยิ่งจิตตามตัวละครในเรื่อง กล่าวคือ Gordo เขาไม่ได้มา poison ความคิดของสองผัวเมียเล่นๆ หากแต่เขาได้เข้ามาเล่นกับความคิดของคนดูอย่างเราๆ ด้วย
ซึ่งความดีความชอบส่วนใหญ่ของหนังคงต้องยกให้ Joel Edgerton เขาไม่ใช่เพียงแค่แสดงดี (โดยเฉพาะการแสดงโดยการใช้แววตา) เท่านั้น หากแต่ยังกำกับและเขียนบทมาดีเกินคาดอีกต่างหาก โดยเฉพาะช่วงหักมุมกับช่วงสิบนาทีสุดท้ายของหนังนั้นพีคมาก ขนาดออกจากโรงมาพักนึงแล้ว เราก็ยังถกตอนจบของหนังกับเพื่อนไม่จบ (อารมณ์เหมือนตอนดู Inception ที่จบแล้วก็ยังฉงนว่าสรุปพระเอกมันฝันไม่ฝัน)
โดยรวมเราว่าพลอตหนังเขาไม่ใช่แค่ใช้ได้ แต่เรียกว่าเข้าขั้นดีทีเดียว อาจมีองก์แรกๆ ที่ดูเรื่อยๆ น่าเบื่อนิดหน่อย แต่มันก็ดูเรียลดี และที่สำคัญ ถ้าตั้งใจดู จะพบว่า ทุกฉาก ทุกบทสนทนา และทุกรายละเอียดในช่วงต้นเรื่องนั้น มี clues มี messages มีปมและมีความสำคัญต่อฉากช่วงองก์หลังๆ ของเรื่องแฝงอยู่และนำไปสู่บทสรุปช่วงท้ายของเรื่องในที่สุด
ถึงแม้ของขวัญแต่ละกล่องที่ Gordo ส่งมาให้หน้าบ้านของ Simon & Robyn ในช่วงแรกๆ จะดูธรรมดาและชัดเจนว่าแต่ละชิ้นคืออะไร แต่ในขณะเดียวกัน ของขวัญแต่ละชิ้นและการมาเยือนแต่ละครั้งของเขาก็มีความไม่น่าไว้วางใจแฝงอยู่… ซึ่งจะว่าไปแล้ว ทั้งภาพ เสียง ความเงียบ บทสนทนา และคาแรกเตอร์ รวมถึงพระเอกของเราด้วย … ล้วนมีแต่สิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจในตัวของมันเองทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีจุดให้คนดูหัวใจวายเล่นอย่างน้อย 3-4 ซีนอีกต่างหาก (จำนวน “ตุ้งแช่” ขึ้นอยู่กับความขวัญอ่อนของคุณ)
และที่สนุกที่สุดคือ หนังแทบไม่เฉลยอะไรคนดูเลย ทิ้งปมไว้ให้คนดูคิดเองเออเองแทบทุกสิ่งอัน ไม่ว่าจะเป็น Gordo รู้ที่อยู่ของเพื่อนเก่าได้อย่างไร เจ้า Mr. Bojangles (สุนัขประจำครอบครัว) หายไปไหน รวมถึง “ของขวัญชิ้นสุดท้าย” ที่จะทำให้ในหัวของเราเต็มไปด้วย question marks จนกระทั่งหนังขึ้น end credit
โลเกชันและฉากหลักๆ ที่เป็น 80% ของหนังจะอยู่ที่บ้านหลังใหม่ของ Simon & Robyn ที่ย่านหรูของ LA โดยบ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านกระจกใสแจ๋วแหวว แม้แต่ภายในตัวบ้านก็เต็มไปด้วยกระจกเงา ห้องอาบน้ำก็กั้นด้วยประตูกระจกขุ่นๆ ซึ่ง glass กับ mirror ทั้งหลายในบ้านของพวกเขาแฝงด้วยสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ ตีความได้ทั้งความไม่ปลอดภัยของกระจกที่โปร่งใสบอบบาง หรือกฎแห่งกรรมที่ว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น (ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว เป็นต้น) ของกระจกเงา
สมัยเรียน Simon เป็นประธานนักเรียน คนอย่างเขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ (“Simon Says”) และยังเป็นนักเลงใหญ่ที่เคยกระทำ hate speech และ bully ไว้กับ Gordo (เขาตั้งฉายาให้ Gordo ว่า “Gordo the Weirdo”) และตามที่เห็นในเทรลเลอร์หนัง 25 ปีต่อมา Gordo กลับมารังควานและหมายจะ ruin future ของ Simon เพราะ Simon เคย ruin past ของเขา ทำให้เขาชีวิตพังไม่เป็นท่าและโตมาเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย ในขณะที่ Simon มีทุกอย่างที่ชายชาติอเมริกันทุกคนใฝ่ฝัน; งานที่ดี รถที่หรู บ้านที่ใหญ่ และเมียที่สวย
Simon อาจจะคิดว่า ตอนนั้นตัวเองยังเด็ก การแกล้งกันเป็นเรื่องปกติของเด็กนักเรียน เรียนจบแล้วก็จบกันไป (“Let bygones be bygones,”) สิ่งเดียวที่ต้องสนใจคือ “อนาคต” หารู้ไม่ว่า เวลาไม่สามารถเยียวยาได้ทุกสิ่ง ตามที่เขาว่ากันว่า แผลกายหายง่ายแต่แผลใจหายยาก เพราะเรื่องสนุกและความคึกคะนองตามประสาวัยรุ่นของเขานั้นอาจทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งตลอดกาล มิหนำซ้ำ วันดีคืนดี สิ่งเลวร้ายที่เขาเคยทำหรือคำพูดแย่ๆ ที่เคยพูดในอดีตมันอาจย้อนกลับมาทำลายชีวิตเขาเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง (ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งตัวดีเลย โซเชียลมีเดียวทั้งหลายแหล่เนี่ย)
และนอกจากนี้ ไม่ใช่แค่ผลของการกระทำเท่านั้นที่ติดตามทั้งตัวผู้กระทำและผู้ถูกกระทำไปตลอดชีวิต ความคิดและพฤติกรรมที่ชอบคิดชอบทำสมัยเด็กก็อาจเป็นสันดานติดตัวติดนิสัยคนคนนั้นไปจนแก่ตายด้วย จะมีก็แต่เปลือกหรือรูปลักษณ์ภายนอกที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาก็เท่านั้น ดังนั้นประโยคที่เขาพูดถึง Gordo ว่า “บางคนสมัยเรียนเป็นยังไงโตมาก็ยังเป็นยังงั้น” นั่นคือเขาอาจจะกำลังด่าตัวเองอยู่ด้วยไม่รู้ตัว
เขาได้แต่พยายามสร้างเปลือกใหม่ให้ตัวเอง ตกแต่งชีวิตให้สวยหรูดูดี พูดถึงแต่ปัจจุบันกับอนาคต และต้องใช้ชีวิตอยู่กับความโกหกหลอกลวง (เข้าใจว่าโกหกไปแล้วก็ต้องโกหกมันตลอดไป) เพื่อฝังกลบความเน่าเฟะที่เขาเคยทำในอดีตให้อยู่ในหลุมลึก… ไม่คิดจะบอกแม้แต่ Robyn ภรรยาคู่ชีวิตของเขาเอง ปล่อยให้เธอได้คิดว่าตนได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีเพียบพร้อม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเธอแทบไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของสามีตัวเองเลย
ช่วงกลางเรื่อง Robyn จะเป็นเซ็นเตอร์ของเรื่อง คนดูทุกคนก็จะได้สวมบทบาทเป็น Robyn เพราะตอนแรก Robyn คือภรรยาสาวโลกสวย ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เริ่มต้นจากศูนย์ คนดูก็ได้รู้จักและเจอ Gordo ครั้งแรกพร้อมๆ กับเธอ ไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของ Gordo กับ Simon ในสมัยไฮสคูลเป็นอย่างไร เวลาที่เธอต้องอยู่บ้านโดยลำพัง เธอก็ต้องอยู่กับความหวาดระแวงตลอดเวลา ความรู้สึกของคนดู ณ ตอนนั้นคือ Robyn คือเหยื่อ และกำลังจะต้องรับกรรมที่เธอไม่ได้ก่อ
ความตลกร้ายคือ Simon ทำงานเกี่ยวกับ software security (แน่นอนว่าเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของเด็กหนุ่มที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย) แต่เขากลับไม่สามารถดูแลความปลอดภัยของบ้านหรือครอบครัวของเขาได้เลย อย่างที่เราจะเห็นได้ชัดในคอมโบเซตของของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ Gordo ให้ – Gordo มีกุญแจที่สามารถใช้เข้าออกบ้านของเขาได้ตลอดเวลามาตั้งแต่เริ่ม สามารถเอาเครื่องดักฟังกับวิดีโอมาแอบติดตั้งไว้ในบ้านอีกด้วย วางยานอนหลับภรรยาของเขา และ… ทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คิดเองว่า Gordo ได้ข่มขืน Robyn จริงหรือไม่ และลูกของ Robyn คือลูกของใครกันแน่…
ในองก์สุดท้าย ตั้งแต่ Danny เอาหินมาปาใส่กระจกบ้านของ Simon หนังไม่ได้โฟกัสที่ Robyn อีกแล้ว หนังเปลี่ยนไปเล่าเรื่องในมุมของ Simon แทนบ้าง หนังต้องการให้เราเห็นว่า Simon กำลังรับกรรม ลิ้มรสความรู้สึกของการสูญเสียที่ทั้งอนาคตการงานและครอบครัวต้องพังลงต่อหน้าต่อตา
ถึงแม้จะดูเหมือนช่วงท้ายหนังให้ความสำคัญกับ Robyn แค่ว่า คนดีๆ อย่างเธอได้ของขวัญที่เธออยากได้ในสุดในชีวิตสมใจแล้วนั่นก็คือ “ลูก” (“Bad things can be a gift,”) อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายความว่า มันไม่สำคัญสำหรับ Robyn ว่าเธอถูกข่มขืนหรือไม่และใครเป็นพ่อของลูกเธอ แน่นอน… การถูกข่มขืนเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะการถูกข่มขืนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ยังไงก็สำคัญสำหรับผู้หญิง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยส่วนตัว เราเดาว่า การข่มขืนมันไม่ได้มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว เช่นเดียวกับตอนที่ Simon เคยใส่ร้าย Gordo สมัยเรียนว่าโดนเกย์กระทำทางเพศนั่นแหละ นอกจากนี้ เราคิดว่า ถึงแม้ Gordo จะมีปัญหาทางจิตอ่อนๆ แต่ก็ดูมีพื้นฐานจิตใจดี ค่อนข้างอ่อนแอ และแรงจูงใจก็ไม่ได้มากพอที่จะบีบให้เขาทำอะไรรุนแรงขนาดนั้น โดยเฉพาะเขาก็รู้แก่ใจว่า Robyn ดีกับเขาจากใจจริง
ดังนั้น ถึงแม้หนังจะไม่มีบทสรุป แต่เราก็สรุปเองเดาๆ ว่า Gordo ไม่น่าจะทำอะไร Robyn หรอก และนั่นก็แปลว่า เด็กก็น่าจะเป็นลูกของ Simon เองนั่นแหละ เพราะ Simon เองก็ไม่ได้ไร้น้ำยา เขาเคยทำให้เมียท้องได้มาก่อนแล้วครั้งหนึ่งตอนอยู่ชิคาโก้ แค่ตอนนั้นเมียแท้งเองเพราะเครียดจากการทำงานหนัก (แต่ก็ยังแอบติดใจนิดๆ นะ กับประโยคที่ Gordo บอกว่า “Too late,” ตอนที่ Simon ไปขอโทษเขา แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย)