ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

ดูหนัง Dark City เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน 1998 เต็มเรื่อง

ดูหนัง Dark City เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน 1998 เต็มเรื่อง - เว็บดูหนังดีดี ดูหนังออนไลน์ 2020 หนังใหม่ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนังระทึกขวัญ

เรื่องย่อ : ดูหนัง Dark City เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน 1998 เต็มเรื่อง

IMDB : tt0118929

คะแนน : 7.6

รับชม : 637 ครั้ง

เล่น : 138 ครั้ง



Dark City เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน 1998

หนัง Dark City (1998) ถือว่าเป็นเหมือนกับทัพหน้าในการ “แหกสามัญสำนึกของคนดู” ก่อนที่หนังอย่าง The Matrix จะออกฉาย และกลายเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมได้ง่าย

ชายคนหนึ่งซึ่งเหมือนจะชื่อว่า “เมอร์ด็อค” (รูฟัส ซีเวล) ตื่นขึ้นมาในโรงแรมที่ไม่คุ้นตา แถมยังสูญเสียความทรงจำด้วย นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งถูกฆาตกรรมภายในห้อง! ขณะที่พยายามจะค้นหาความเป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร เมอร์ด็อคก็ได้พบว่าเมืองนี้ถูกควบคุมด้วยกลุ่มคนประหลาดที่เรียกกันว่า เดอะ สเตรนเจอร์ส (The Strangers) ซึ่งมีความสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงรอบตัวของผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองได้… เมืองที่ราวกับจะมืดมิดไปตลอดกาล

หนัง Dark City

เมอร์ด็อค ชายผู้สูญเสียความทรงจำที่จะกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเมืองที่ตกอยู่ในความมืดแบบนิรันดร์

Dark City กำกับโดยอเล็กซ์ โพรยาส ซึ่งผลงานก่อนหน้าหนังเรื่องนี้คือ The Crow (หนังฮีโร่แนวโกธิคที่แบรนดอน ลีเสียชีวิตระหว่างถ่ายทำ) ใช้ทุนสร้าง 27 ล้านเหรียญสหรัฐ ทว่าหนังกลับทำเงินในอเมริกาไปแค่ 14 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อให้บวกรายได้รวมเข้ากับต่างประเทศแล้ว ก็ยังทำได้แค่ 27 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งก็ยังไม่มากพอจะเรียกว่าประสบความสำเร็จอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม หนังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคนที่ได้ดูอยู่พอตัว จนกระทั่งกลายเป็นหนังคลาสสิคสำหรับคนดูหลายคน

แต่ความสมบูรณ์ของ Dark City มันอยู่ที่เวอร์ชั่น Director’s Cut ที่เพิ่มฉากซึ่งถูกตัดออกไปจากเวอร์ชั่นหนังโรงนั่นเอง!

หนัง Dark City

งานด้านภาพและองค์ประกอบศิลป์ คือสิ่งที่ได้รับคำชมมากที่สุดของหนังเรื่องนี้


ประสบการณ์ด้านบวก

หนัง Dark City ออกฉายในปี 1998 และตอนนั้น ผมยังไม่เคยดูหนังอะไรแบบนี้มาก่อน มันมีอารมณ์เหมือนแนวฟิลม์นัวร์ คล้ายๆกับหนังแนวลึกลับ-เขย่าขวัญ พระเอกตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียความทรงจำ แถมยังมีเรื่องฆาตกรรมเข้ามาพัวพันอีก แค่ฉากเปิดเรื่องผมก็ชอบมันมากแล้ว มันทำให้ผมสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันแน่ แล้วหลังจากนั้น สิ่งที่เมอร์ด็อคได้ค้นพบก็เปลี่ยนประสบการณ์การดูหนังของผมไปโดยปริยาย

หนังมันได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ความทรงจำของมนุษย์” คือมนุษย์เรามีตัวตนอยู่ได้ด้วยความทรงจำที่ก่อร่างสร้างเป็นตัวเราขึ้นมา เช่น นาย PeterPan มีความทรงจำว่าเป็นไอ้บ้าที่ได้ดูหนังมาตั้งแต่เด็ก แล้วด้วยความที่นาย PeterPan ชอบอ่านนิตยสารหนัง แล้วก็เคยดูหนังแบบบ้าคลั่ง นาย PeterPan จึงกลายมาเป็นไอ้บ้าที่ลงทุนมาสร้างเว็บ Pan2Screen มานั่งเขียนบล็อกเกี่ยวกับหนัง เกม ซีรีส์ ฯลฯ อะไรแบบนี้!

แต่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า “ความทรงจำที่ก่อร่างสร้างชีวิต” คนๆหนึ่งขึ้นมา กลับกลายเป็นเรื่องลวงตา? ถ้าชีวิตของคนๆหนึ่งกลับไม่ต่างจากหนูติดในทางวงกตที่ไร้ทางออก แล้วต้องวนอยู่ในลูปไปตลอดชีวิตล่ะ?

หนัง Dark City

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความทรงจำที่งดงามคือสิ่งจริงแท้?

Dark City มีความสำคัญมาก เพราะมันเป็นเหมือนปราการด่านหน้าก่อนที่ปี 1999 จะมีหนังที่ใช้ธีมคล้ายๆกันอย่าง The Thirteenth Floor และ The Matrix ออกฉาย ตามกระหน่ำด้วยปี 2000 ที่มีหนังฟิลม์นัวร์สุดแนวอย่าง Memento ของคริสโตเฟอร์ โนแลน…

คิดดูสิ ช่วงปี 1998 จนถึงปี 2000 มันมีหนังที่ “แหกสามัญสำนึก” ของคนดูอัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว! นี่มันบ้ามาก แต่ก็เจ๋งมากๆด้วย!

แต่ดูเหมือนว่าในบรรดาหนังที่ใช้ธีมเดียวกันแล้วประสบความสำเร็จระดับฮิตถล่มทลาย จะมีเพียง The Matrix นี่แหละ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว หนัง Dark City เป็นอะไรที่สามารถดูได้หลายรอบมากกว่า The Matrix แน่นอน (ย้ำว่าสำหรับผม) เมื่อก่อนผมเคยบ้าคลั่งฉากแอ็กชั่นบ้าๆของ The Matrix มาก แต่พอดูไปเกือบจะสิบรอบ ผมก็ชักจะเริ่มเบื่อมันมากขึ้นเรื่อยๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา (นับจากช่วงที่กำลังเขียนบทความนี้) ผมแทบไม่ได้แตะ The Matrix อีกเลย ในขณะที่หนังอย่าง Dark City ผมกลับยังคงเอามาปัดฝุ่นดูใหม่อยู่เรื่อยๆ!

แน่นอนว่า Dark City ดูสนุกน้อยกว่า The Matrix มันมีฉากแอ็กชั่นน้อยกว่า แต่ผมรับประกันได้ว่าหากมองกันดีๆ จะเห็นว่า Dark City มีวิธีการเล่าเรื่องที่ดีกว่า ในขณะที่ The Matrix ใส่ใจอยู่กับการอัดกระหน่ำคนดูด้วยฉากแอ็กชั่นหวือหวาและปรัชญาหรือศาสนา Dark City กลับทุ่มไปที่การเล่าเรื่องที่เริ่มด้วยความลึกลับในสไตล์หนังฆาตกรรม คนดูจะค่อยๆได้เห็นรายละเอียดของเมืองที่มืดมนตลอดกาลผ่านเรื่องราวทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่มีการพูดปรัชญาชวนปวดหัวที่ดูเท่แต่กลวง ใช่แล้ว ในความเห็นของผม Dark City มีบทพูดที่น่าสนใจกว่า The Matrix และเข้าใจได้ง่ายกว่ามากทีเดียว

หลายๆครั้งตัวละครในเรื่องมักจะพูดถึงเรื่อง “ความทรงจำ” มักจะพูดถึงความผูกพันที่มีต่อใครสักคน เพียงแต่พอความเป็นจริงเปิดเผยว่าวิถีชีวิตของผู้คนกลับถูกควบคุมโดยเดอะสเตรนเจอร์ส… แล้วความเป็นตัวตนจะอยู่ที่ไหนกันล่ะ? Dark City ค่อยๆนำเสนอตรงจุดนี้ แบบค่อยเป็นค่อยไป ก่อนที่จะตบหน้าตัวละครภายในเรื่องอย่างรุนแรงด้วยคำถามสำคัญนั่น ส่วนคนดูก็ต้องอ้าปากค้างตามไปด้วย โดยเฉพาะตอนที่เฉลยว่า เมืองนี้จริงๆแล้วคืออะไรกันแน่

หนัง Dark City

ถ้าความทรงจำเป็นเรื่องลวง แล้วความรักที่มีต่อใครสักคนล่ะ?

นักแสดงหลายคนทำหน้าที่ได้ดี รูฟัส ซีเวลที่เล่นเป็นเมอร์ด็อคคือตัวละครที่พาคนดูไปรู้จักกับ “โพรงกระต่าย” อันซับซ้อนราวกับทางวงกตที่ไร้ทางออก ได้เห็นว่าระหว่างที่ผู้คนหลับใหล พวกสเตรนเจอร์สได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนยังไงกันบ้าง

วิลเลียม เฮิร์ทเล่นเป็นสารวัตรแฟรงค์ บัมสตี้ด ขณะที่บัมสตี้ดสืบคดีฆาตกรรมของเมอร์ด็อค เขาก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคนในเมืองซึ่งเชื่อว่าความทรงจำของตัวเองเป็นเรื่องจริง ก่อนที่การสืบคดีจะเริ่มสั่นคลอนความเชื่อของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

คีเฟอร์ ซูเธอร์แลนด์ (พี่แจ็ก บาวเออร์จากซีรีส์ 24) เป็นด็อกเตอร์ชรีเบอร์ คนเพียงคนเดียวที่รู้ความจริงเกี่ยวกับพวกสเตรนเจอร์สทั้งหมด และอยู่เบื้องหลังการสร้างความทรงจำของมนุษย์ทุกคนในเมืองด้วย

แต่ที่งดงามหยดย้อยจนตาแทบค้างคือเจนิเฟอร์ คอนเนลลีในบทของเอมม่า เมอร์ด็อค เมีย (?) ของเมอร์ด็อค แม่เจ้า! เธองามสุดยอดจริงๆ! อะไรนะ… การแสดงน่ะรึ? อ้อ โอเค คือบทของเอ็มม่าจะไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจากจะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ความทรงจำของเมอร์ด็อค ดังนั้น… เธอคงโอเคในบททำนองนี้… ละมั้ง? แต่ให้ตายเถอะ เธองามมากจริงๆนะ!

หนัง Dark City

เจนิเฟอร์ คอนเนลลี เธอ… บิลติฟูล!

อ้อ เมื่อพูดถึงผู้กำกับอเล็กซ์ โพรยาส น่าแปลกที่หลังจาก Dark City แล้ว เขาก็ได้ไปกับ I, Robot และในความเห็นของผม I, Robot คือความน่าผิดหวังหากเทียบกับ Dark City แต่ก็ยังถือว่าโอเคหากไม่ได้เอามาเปรียบเทียบกัน… แต่ล่าสุดเขากำกับ God of Egypt และผมไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือผู้กำกับคนเดียวกัน! ทำไมผู้กำกับหนังระดับมาสเตอร์พีซอย่าง Dark City ถึงได้ไปทำอะไรแบบ God of Egypt ได้ล่ะ?


ประสบการณ์ด้านลบ

แม้ผมจะชอบ Dark City แค่ไหน แต่ก็ยอมรับว่าตัวหนังไม่ได้สมบูรณ์แบบ อันดับแรกเลยคือมันไม่ได้สนุกที่จะดูแบบติดๆกันมากเท่าไหร่ คือผมชอบโทนสไตล์หนังฟิลม์นัวร์ที่ว่าเรื่องลึกลับ-สืบสวน เพียงแต่ด้วยโทนแบบนั้นนั่นแหละ ถึงทำให้หนังไม่ค่อยได้เน้นฉากแอ็กชั่นมาก พอไม่ได้เน้นฉากแอ็กชั่นมาก มันเลยจัดอยู่ในหมวด “หนังเจ๋ง แต่ไม่ค่อยจะบันเทิง” ยอมรับว่าเลยว่าถ้าเรื่องดูเอาสนุก I, Robot จะทำหน้าที่ได้ดีกว่า เพราะฉะนั้น Dark City จึงกลายเป็นหนังคลาสสิคสำหรับคนดูเฉพาะกลุ่มไปเสีย

หนัง Dark City

สไตล์การเล่าเรื่องเหมือนฟิลม์นัวร์มากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่นสุดล้ำ

พูดถึงฉากแอ็กชั่น ผมรู้สึกว่าอเล็กซ์ โพรยาสกำกับฉากแอ็กชั่นใน The Crow หรือ I, Robot ได้ดีกว่านะ คือมุมกล้องและจังหวะการตัดต่อของฉากแอ็กชั่นในหนังเรื่องนี้มันแข็งๆแบบแปลกๆ

แล้วบทสรุปก็เหมือนยัดเยียดให้ดูแฮปปี้เอ็นดิ้งมากไปนิด ไม่ค่อยมีเหตุผลเลยว่าทำไมเอ็มม่าถึงไปอยู่ตรงนั้นได้ อะไรทำนองนี้ คือมันดูสวยและลงตัว แต่พอมานั่งนึกถึงเหตุผลแล้วมันแปลกๆ