ดูหนัง Always Sunset On Third Street (2005) ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม เต็มเรื่อง

Always Sunset On Third Street (2005) ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม

รีวิวภาพยนตร์ญี่ปุ่น Always: Sunset on Third Street ตั้งแต่ปี 2006 ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ญี่ปุ่นย้อนยุค Always : Sunset on Third Street (ถนนสายนี้หัวใจไม่เคยลืม) เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ก็ได้รับการตอบรับดี มีผู้เข้าชมจำนวนมาก พอภาคสองออกมาในปี 2007 ก็ถูกพูดถึงมาก สร้างกระแสได้ไม่น้อย

ตั้งแต่ปี 2006 ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ญี่ปุ่นย้อนยุค Always : Sunset on Third Street (ถนนสายนี้หัวใจไม่เคยลืม) เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ก็ได้รับการตอบรับดี มีผู้เข้าชมจำนวนมาก พอภาคสองออกมาในปี 2007 ก็ถูกพูดถึงมาก สร้างกระแสได้ไม่น้อย ทำรายได้ตอนเปิดตัวสูงกว่าภาคแรกเสียอีก ทั้งสองภาคมีรางวัลการันตีเพียบจากหลายสถาบัน เว้นวรรคไปนานทีเดียว ในที่สุดภาคสามก็จะเข้าฉายแล้วในปีนี้ ซึ่งผู้ชมก็คงความคาดหวังกับ Always ภาคนี้กันพอสมควรเลยทีเดียว  

เกริ่นถึงแต่ละภาคอย่างสั้นๆ สักนิด ก่อนจะเล่าถึง Always ภาค 3 สำหรับคนที่ไม่เคยชม Always เลย

ภาพยนตร์เรื่อง Always นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากมังงะเรื่อง ซังโจเมะโนะยูฮิ (San-Chome no Yohi) ของเรียวเฮ ไซงัง (Ryohei Saigan) เป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ต่างก็มีความฝันของตัวเอง พวกเขาอาศัยอยู่ในตรอกเก่าแก่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ของกรุงโตเกียว (เขตยูฮิ) ในราวปีโชวะ 33 (1958) ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งยุติได้ไม่นาน ประเทศญี่ปุ่นก็กำลังฟื้นฟูกันอย่างเต็มกำลัง ดังนั้นนอกจากจะได้ติดตามเรื่องราวของตัวละครในภาพยนตร์แล้ว ยังจะได้เห็นเหตุการณ์รวมถึงบรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ มากมายในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นด้วย Always จะมีทั้งฉากฮาๆ ให้อมยิ้ม แล้วก็ฉากที่ต้องยิ้มปนน้ำตาซึม

เรื่องนี้มีตัวละครไม่มาก เพราะเป็นเรื่องราวของคนในชุมชนเล็กๆ แต่ว่าตัวละครทุกตัวก็มีบทบาทโดดเด่น ทำให้เรื่องน่าติดตาม ไม่น่าเบื่อเลย บางครั้งตัวละครก็แสดงออกได้เว่อร์..ได้อารมณ์การ์ตูนๆ ไปหน่อย..คนดูก็ยังชอบ  Always ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเยอะ ทั้งๆ ที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่เนียน แต่ก็กลายเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ไป นอกจากเนื้อหาจะซาบซึ้งกินใจแล้ว ฉากต่างๆ ในหนังนี่แหล่ะที่ครองใจแฟนๆ Always

ขอแนะนำนักแสดงหลักๆ กันก่อน

Always ภาคแรก Always : Sunset on Third Street (San-Chome no Yuhi) ใช้ฉากช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังก่อสร้างโตเกียวทาวเวอร์ (ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว) เล่าเรื่องราวที่ ริวโนะสุเกะ ฝันฝ่าเพื่อที่จะได้เป็นนักเขียน จนได้มารักกับ ฮิโรมิ และต้องรับเลี้ยง จุนโนะสุเกะ เด็กชายที่เห็นริวโนะสุเกะเป็นเหมือนฮีโร่ ส่วนบ้านซุซุกิ ก็กำลังปรับปรุงกิจการอู่ซ่อมรถ ต้องจ้าง โรขุ เด็กสาวจากต่างจังหวัดมาเป็นช่างเครื่อง แต่ขอบอกว่าการดำเนินเรื่องน่าสนใจมาก ซาบซึ้งกินใจ น้ำตาอาบแก้มกันเลยทีเดียว

ส่วนภาคสอง Always : Sunset on Third Street (Zoku San-Chome no Yuhi) ก็เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากภาคแรก (ประมาณ 4 เดือนต่อมา) ซึ่ง ริวโนะสุเกะ ต้องทำตามความฝันในการเป็นนักเขียน ต้องดูแลความรักกับ ฮิโรมิ และต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ถูกพราก จุนโนะสุเกะ ไป บ้านของซุซุกิ โนริฟุมิ คู่กัดของริวโนสุเกะก็วุ่นวายไม่แพ้กัน

แล้วก็มาถึงภาคสาม Always : Sunset on Third Street (San-Chome no Yuhi ’64) ซึ่งกำลังจะเข้าฉายในวันที่ 19 เมษายน 2012 นี้ ที่ house RCA และลิโด้ ภาคนี้อยู่ในช่วงปี 1964 ปี ปีที่มีการจัดโอลิมปิกครั้งแรกในญี่ปุ่น (โตเกียว) เป็นโอลิมปิกครั้งแรกในทวีปเอเชียซะด้วย แถมเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งฟื้นฟูหลังสงคราม เลยทำให้ตัวละครในเรื่องซึ่งก็เหมือนคนญี่ปุ่นทั่วไป..อินกับโอลิมปิกกัน มากๆ เป็นหนังย้อนยุคที่โชว์ประวัติศาสตร์ของประเทศได้น่าสนใจที่เดียว

ภาคนี้ยิ่งเห็นความโดดเด่นของตัวละครมากขึ้น ทุกตัวมีความสำคัญหมด ริวโนะสุเกะ ยังคงต้องฟันฝ่าอุปสรรค์เพื่อการเป็นนักเขียนชั้นแนวหน้า โชคดีที่เขามี ฮิโรมิ เป็นกำลังใจ จุนโนะสุเกะ ที่เห็นริวโนะสุเกะเป็นฮีโร่เสมอก็มีความฝันที่ต้องทำให้เป็นจริงเหมือนกัน Always ภาค 3 นี้ดึงความผูกพันธ์ของคนในครอบครัวนี้มาเรียกน้ำตาได้ท่วมจอใหญ่ๆ กันเลย (อ้อ! กลับมาภาคนี้จุนโนะสุเกะหล่อขึ้นเยอะทีเดียว)

ขณะที่ อิปเป ซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็ทำบ้านซุซุกิป่วน (+อมยิ้ม) ได้ตลอด แล้วภาคนี้ โรขุ ที่โตเป็นสาว แถมสวยขึ้นอีก ก็เริ่มจีบหนุ่ม เอ้ย! มีหนุ่มมาจีบอย่างจริงๆ จังๆ ซะแล้ว ทำให้ท่านประธาน (โนริฟุมิ ) ซึ่งดูเหมือนจะหวงลูกสาว เอ้ย! ลูกจ้างคนนี้เอามากๆ ต้องปรี๊ดแตกกันเลยทีเดียว บ้านนี้ก็ทำเอาฮา..ปนซึ้งได้อีก

ภาค 3 นี้ให้อารมณ์คล้ายๆ กับภาคแรก มีมุกฮาเล็กๆ แทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ยังมีคอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่ดูเด่นได้ใจเหมือนเดิม เป็นเอกลักษณ์ของ Always ไปซะแล้ว ฉากเปิดเรื่องที่ยังคงใช้ Tokyo Tower เป็นไฮไลท์ รวมทั้งฉากจบในบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกดินน่าประทับใจมาก การดำเนินเรื่องยังคงซาบซึ้งกินใจ เรียกรอยยิ้มและน้ำตาได้เรื่อยๆ ใครที่ไม่ค่อยปลื้มภาค 2 เท่าไหร่ ภาค 3 น่าจะเรียกศรัทธาคืนมาได้ไม่ยาก แล้วถึงจหยังไม่เคยดูสองภาคแรก ดูภาคนี้ก็ซึ้งได้เหมือนกันนะ

หากต้องการชมภาค 1 และภาค 2 โรงภาพยนตร์ house RCA ก็จะนำมาฉายเรียกน้ำย่อยด้วย เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. นี้เป็นต้นไป และยังสามารถซื้อบัตรแบบ Combo Set เพื่อเข้าชมทั้ง 3 ภาคได้ พร้อมรับของที่ระลึก ในราคาพิเศษเพียง 250 บาทเท่านั้น