ถ้าใครคาดหมายว่าจะได้ดูหนังแอ็กชันมีสาระ มีอะไรให้คิดเยอะๆ ล่ะเห็นทีท่านจะตีตั๋วดูผิดเรื่องแล้วล่ะครับ เพราะหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นมาตอบสนองต่อมความมันส์และขากรรไกรเท่านั้น ส่วนสมองก็พักได้ไม่ต้องใช้ให้มาก
ขณะเดียวกันถ้าใครคาดหมายว่าจะได้ดูแอ็กชันเหนือมนุษย์แบบสุดๆ ของเฉินหลงล่ะก็ คงต้องทำใจไว้ล่วงหน้า
การเป็นดารานี่ก็ถือว่ามีเวรกรรมอยู่เหมือนกัน ถ้าเล่นแล้วดังด้วยบทชนิดไหนล่ะก็ เป็นอันต้องโดนภาพลักษณ์ที่ว่านาบติดตัวไปจนตายหรือไม่ก็จนกว่าจะเปลี่ยนแนวทางไปพิสูจน์ฝีมือกับบทอื่นจนเป็นที่ยอมรับนั่นแหละ เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Sean Connery หรือแม้แต่ Pierce Brosnan จะหลีกหนีทิ้งเงินนับล้านในบทเจมส์ บอนด์ไปหาอย่างอื่นทำ เพื่อไม่ให้มันตันก่อนเวลาอันควร
ยิ่งบทแนวบู๊นี่อันตราย เพราะส่วนมากถ้าผูกขาดแต่บู๊ก็มักจะไปไหนไม่ไกล ไม่เชื่อดูหน้าพระเอกนักบู๊ฮอลลีวู้ดสิครับถ้าไม่ย่ำต้อกก็ต้องหาอย่างอื่นทำ ไม่งั้นจะเป็นอย่างพี่ Steven Seagal และ Jean Claude Van Damme เอาได้ (ซึ่งล่าสุด Wesley Snipes ก็เข้าร่วมสมาคมไปอีกหนึ่งหน่อ) การที่พวกพี่เขาเหล่านั้นโดนลดเกรดลงก็เนื่องมาจากคิวบู๊ไม่ยอดเยี่ยมเหมือนสมัยแรกเริ่มก็เลยโดนบ่นจากหนังทุกเรื่อง แล้วก็ลงเอยที่เล่นหนังแผ่นด้วยประการละฉะนี้แล
หรือไม่ที่จะโดนอีกอย่างก็คือโดนว่าคิวบู๊เดิมๆ ไม่เห็นมีอะไรใหม่ เลยโดนค่อนแคะว่าหากินกับของเก่า ซึ่งคนที่โดนล่าสุดก็คือพี่เฉินของผมนี่แหละ
จริงๆ นะครับ RH 3 นี่โดนกระหน่ำไปเยอะยิ่งมะกันนี่เริ่มลงมาสับว่าไม่ได้ไปไหน ฉากบู๊ทำท่าจะน้อยลงด้วย เลยพากันไม่ชอบใจภาค 3 ของหนังฟัดเต็มสปีดเท่าที่ควร ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธครับ ภาคนี้ไม่ได้สุดยอด มีจุดบกพร่องเยอะ แต่รายที่พร่องน่ะไม่ใช่พี่เฉินหลงแกหรอกนะครับ
จุดสำคัญที่คนอยากเข้ามาดูหนัง RH หรือหนังพี่เฉินทุกเรื่องก็คือลีลาบู๊เหนือมนุษย์ เอะอะรูดเสาลงมา หรือไม่ก็กระโดดข้ามขอบตึก (ทำไม่จับแกไปเล่น Spider-Man ให้รู้แล้วรู้รอดก็ไม่รู้) ซึ่งอยากให้ทำความเข้าใจไว้ประการหนึ่งว่าความชราไม่เข้าใครออกใคร จะให้วิ่งเอาตัวฟาดกระจกแบบสมัยวิ่งสู้ฟัดภาคแรกก็ไม่ไหวล่ะครับ แค่นี้บริษัทประกันชีวิตก็แทบไม่อยากให้เป็นลูกค้าแล้ว พี่แกเสี่ยงตายเยอะเหลือเกิน ขนาดเรื่องนี้ที่ว่าน้อยๆ ก็มีใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ
แม้แกจะบู๊ได้ช้าลง สปีดไม่ไวเหมือนตอนหนุ่ม แต่ก็เข้าใจธรรมดาของสังขารเถอะครับ แค่ฉากวิ่งข้ามถนน ไล่ไปตามไฮเวย์แบบต้นเรื่อง เล่นได้โดยไม่ขาดใจตายก็นับถือใจแกแล้ว นี่ถ้ารำลึกย้อนดูดีๆ ขนาดแกบู๊สโลว์ลงแต่ยังเทียบได้กับพี่มาร์ติน ริกก์สแห่ง Lethal Weapon เลยนะครับ จำได้ไหมภาคแรกอ้ะที่ริกก์สวิ่งตามผู้ร้ายไปบนทางด่วน อย่างน้อยไฟในตัวพี่เฉินตอนนี้ก็เทียบได้กับพี่ Mel Gibson ตอนหนุ่มๆ เลยนะนั่น
ผมเลยไม่ใคร่จะอะไรมากกับพี่เฉินเพราะแกยังเล่นได้ดี บู๊ได้เร็ว อย่างน้อยกว่าเร็วกว่าพวกเราล่ะวะ ยังเป็นดาราบู๊ในดวงใจอีกคนอยู่ดี (แม้แกจะไปเมาอาละวาดก็เหอะ พอให้อภัย) ดูไปก็เห็นใจล่ะครับแก่แล้ว ถูล่ถูกังตัวเองขนาดนี้แล้วยังมาโดนบ่นอีก อย่าไปให้แกเพิ่มฉากเสี่ยงตายเลยครับ พี่เฉินอุตส่าห์สร้างความบันเทิงให้คนดูมาจะ 30 ปี คิดซะว่าให้แกได้ใช้เงินที่แกอุตส่าห์หามาบ้างเถอะ เดี๋ยวจะไม่ได้ใช้ซะเปล่าๆ
สำหรับเนื้อหาตอนที่ 3 ของคู่ใหญ่ขาวดำสารวัตรแห่งฮ่องกง ลี (เฉินหลง) กับเจมส์ คาร์เตอร์ (Chris Tucker) ที่ภาคนี้โดนลดขั้นไปเป็นตำรวจจราจร (นึกถึง Lethal Weapon 3 มาตะหงิดๆ) ส่วนลีก็ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับท่านทูตฮั่น (Tzi Ma) หรือกงศุลฮั่นเจ้านายดั้งเดิมของลีจากภาคแรก ที่กำลังดำเนินคดีใหญ่ตามล่าไขความลับขององค์กรปริศนาไตรภาคีของผู้ก่อการร้ายระดับโลก และว่ากันว่าหัวหน้าใหญ่ขององค์กรนี้คือ ไชเช็น และท่านทูตฮั่นกำลังจะประกาศว่าใครคือไชเช็น ก็พอดีมีคนพุ่งเป้าลอบสังหารมาที่ท่าน รวมถึงหมายหัวบุคคลสำคัญอย่าง วาร์เด็น เรนาร์ด (Max von Sydow) ทูตฝรั่งเศส และซูหยาง (Jingchu Zhang) ลูกสาวของท่านทูตฮั่น งานนี้ลีกับคาร์เตอร์เลยต้องแข่งกับเวลาลากคอผู้ร้ายมาจัดการ โดยเบาะแสชี้ไปที่ฝรั่งเศส
อันนำพวกเขาไปเจอกับหัวหน้ากลุ่มนักฆ่า เคนจิ (Hiroyuki Sanada) ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังครั้งเก่าก่อนกับลี, จีโนวีฟ (Noemie Lenoir) หญิงปริศนาที่คาร์เตอร์ตามจีบ, นักฆ่าสาวผู้เชี่ยวชาญมีดสั้น (Youki Kudoh) และไอ้จอร์จ (Yvan Attal) คนขับแท็กซี่ที่ต้องมาร่วมขบวนกับสองบ้านี่โดยไม่ตั้งใจ
ที่เหลือก็ไปดูต่อนะครับ เพราะปมมันไม่ได้ซับซ้อนขืนเล่าให้ฟังหมดก็ไม่ต้องดูกันพอดี เอาเป็นว่าลีก็ต่อยตีกันไป คาร์เตอร์ก็พล่ามเป็นต่อยหอยกันไปจนหนังจบ
แรกเริ่มทีมผู้สร้างคิดจะทำหนังตั้งแต่ภาค 2 ดังใหม่ๆ แล้วนะครับ โกยไปตั้ง $200 กว่าล้าน ติดที่ผู้กำกับ Brett Ratner ก็ไม่ว่าง มีหนังทำเยอะอย่าง X-Men: The Last Stand ก็หนึ่งล่ะ ส่วนเฮียเฉินก็มีคิวหนังอีกเพียบ ซ้ำบทหนังยังไม่ลงตัวคนดูอย่างผมเลยต้องร้องเพลงรอซะตั้ง 5 ปีกว่าแกจะประกาศทำแน่เมื่อปีที่แล้ว (2006)
ข่าวการสร้างก็ทำเอาซะน่าตื่นเต้นเหมือนกัน โดยเฉพาะที่มีการบอกว่าจะเอา Steven Seagal มารับบทผู้ร้ายของเรื่อง หรือไม่ถ้ารายแรกไม่รับเล่นก็จะไปเอา Jean-Claude Van Damme มาแสดง แต่พอบทมีการดัดแปลงเกลาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนตัวร้ายชาวเอเซียแทน
พอพูดถึงเอเซีย ตอนแรกเฮียเฉินแกก็หมายมั่นจะเอาจา พนมของเราไปร่วมเล่นด้วย แต่พี่จาปฏิเสธครับบอกอยากทำ องก์บากภาค 2 มากกว่า ก็พอเข้าใจพี่จานะครับ อยากทำหนังในบ้านตัวเองที่เราคุมเองได้ ซ้ำแกยังได้กำกับด้วย มันสบายใจกว่าเยอะ
ไม่มีโทนี่จา แต่ในเรื่องก็มีคนไทยไปเล่นเหมือนกันครับ ถ้าตาดีท่านจะสังเกตเห็น ดอน ธีรธาดา ไปร่วมออกหมัดกับเขาด้วย
ส่วนดาราสาวในเรื่อง ตัวเลือกก็น่าสน เพราะ Ratner เล็งกงลี่และ Aishwarya Rai ไว้ แต่สองสาวไม่เล่นด้วยครับ ก็เลยได้คนอื่นมาแทนในบทนักฆ่าสาว
โดยส่วนตัวหนังชุด RH นี่ผมออกจะชอบภาค 2 มากที่สุดน่ะครับ มันบ้าและฮาเต็มที่ ยิ่งพอมาฟังพันธมิตรพากย์นี่ไปกันใหญ่ เล่นซะเอาผมขำกลิ้งไปเลย มาภาคนี้จริงๆ โดยเนื้อเรื่องก็เข้าท่านะ ผูกอะไรไว้ค่อนข้างดี และเรื่องถือว่าใหญ่ที่สุดในสามภาค ซ้ำยังนำเอาตัวละครเดิมๆ มาสร้างเงื่อนไขให้คนดูหนังชุดนี้ผูกพันอีกด้วย ไม่ว่ากงศุลฮั่นหรือซูหยาง ไล่มาจนฉากแอ็กชันในโรงพยาบาลก็สนุกดีน่ะครับ น่าติดตามเหมือนกัน แต่พอหนังเดินเรื่องมาถึงเขตฝรั่งเศส ช่วงหลังนี่แหละที่หนังมีทั้งจุดลงตัวและจุดบอดหลายแขนงปนกัน
ว่ากันที่จุดลงตัวก่อน สองตัวนำลีกับคาร์เตอร์ยังจับคู่กันบ้าตามเคย บู๊ไม่เลือกที่ ซ้ำยังเจอไอ้จอร์จ คนขับแท็กซี่โคตรบ้าอีกหนึ่งราย พี่จอร์จนี่สร้างความฮาได้เยอะกว่าที่คิดครับ (และคงเพราะได้พันธมิตรพากย์ด้วยแหละ) การตามปมปริศนาก็ดูได้เรื่อยๆ พอเพลินตามแบบฉบับ
แต่จุดที่บอดลงไปก็คือ ความมันส์ที่น่าจะมากกว่านี้ ไม่ได้หมายถึงเฉนหลงน่าจะบู๊มากกว่านี้นะครับ เดี๋ยวจะงงเพราะผมบอกว่าสงสารพี่แกอยู่หยกๆ ไหงจะมาเชียร์ให้แกโดนอัดอีก ที่ผมบอกว่าน่าจะมันส์กว่านี้คือ เบื้องลึกเบื้องหลังขององค์กรไตรภา หรือภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Triad ที่หมายถึงผู้ร้ายระดับสูงที่สามารถรวมตัวกันชี้เป็นชี้ตายบางประเทศได้สบายๆ เนี่ย ทำท่าจะอลังการ ในใจนึกว่าฐานมันต้องใหญ่ประมาณผู้ร้ายเจมส์ บอนด์ 007 อย่างนั้นเลยน่ะครับ
อีกอย่างถ้าไล่เรียงดูหนัง RH มาสามภาค นี่เป็นตอนแรกที่เหล่าผู้ร้ายสามารถยกพวกมาตามล่าลีกับคาร์เตอร์ตามถนน เพราะสองภาคก่อนอย่างมากก็ล่ากันในตรอกหรือไม่ก็ในร้านอาหารเท่านั้น ถ้าสังเกตจากอะไรพวกนี้ทำให้เดาได้เลยว่าเหล่าร้ายภาคนี้ต้องใหญ่ไม่ใช่กระจอก
แต่พอถึงตอนจบคนที่ซัดกับลีในตอนท้ายก็คือเคนจิเท่านั้นแหละ แล้วก็จอมบงการเบื้องหลังอีกหน่อยหนึ่ง (ซึ่งจะว่าโดนจัดการง่ายก็ใช่) จนอดคิดไม่ได้ว่าแล้วไอ้พวกมาเฟียระดับสูงที่เหลือมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมปล่อยให้คนมาอัดลีกับคาร์เตอร์แค่หยิบมือเดียว?
มาถึงจุดนี้ผมก็นึกได้เรื่องหนึ่งว่า หรือคนทำจะเก็บงำเนื้อความของพวกมาเฟียนี้ไปเล่นภาคต่อไป
เพราะตอนแรกหลังจากภาค 2 ดังใหม่ๆ ก็มีข่าวว่าผู้สร้างจะทำ Rush Hour รวดเดียวสองภาค คือ 3 กับ 4 โดยให้เนื้อหาต่อเนื่องกันในแบบสลับอันดับน่ะครับ นั่นคือภาคสามจะเล่าเหตุการณ์หนึ่ง แล้วภาคสี่ก็จะเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้าภาคสาม แล้วถ้าดูจากเนื้อเรื่องที่หนังทิ้งไว้เกี่ยวกับอิซาเบลลา (ตำรวจลับสาวในภาค 2 ที่ลีแอบปิ๊ง) ก็ทำท่าว่าระหว่างตอนจบภาคสองและตอนก่อนภาคสามมันต้องมีเหตุการณ์คั่นกลางระหว่างนั้น อันเกี่ยวกับการผจญภัยที่นิวยอร์ค ที่หนังทิ้งเชื้อไว้ในตอนจบภาคสอง (ว่าลีอยากไปเที่ยวเมดิสัน สแควร์การ์เด็นมานานแล้ว)
เลยทำให้เดาได้ล่ะครับว่าตอนแรกผู้สร้างกะทำตอนสามออกมา แล้วก็สร้างภาคสี่เป็นภาคก่อนหน้าภาคสามอีกที (ซับซ้อนจัง )
ดูตอนนี้ชักไม่แน่ใจ เพราะข่าวจะทำตอนต่อเหมือนจะเงียบหายไปอย่างไรก็ไม่ทราบ แล้วคงต้องดูรายได้ด้วยล่ะครับว่าจะคุ้มค่าพอจะสร้างต่อได้อีกหรือไม่ ซึ่งถ้าดูคร่าวๆ ภาคนี้อาจได้รายได้น้อยที่สุด แต่ยังเกินร้อยล้านอยู่ดี
แต่ใจจริงผมล่ะอยากให้ทำต่อเล่าเรื่องพวกองค์กรไตรภาคีนี่ต่อ เพราะคาดได้เลยว่าพวกนี้คงไม่ปล่อยให้ลีกับคาร์เตอร์ลอยนวลแน่นอน และน่าจะทำเหตุการณ์มันส์ๆ ได้อีกเยอะ ส่วนจะมีหรือไม่คงต้องให้อนาคตและพวกผู้สร้างเป็นคนตอบแล้วล่ะครับ
นั่นแหละครับจุดพร่องสำคัญ เนื้อเรื่องทำท่าจะใหญ่แต่กลับไม่ใหญ่ดังคาด เลยออกจะสะดุดทางอารมณ์หน่อยๆ กับอีกหนึ่งก็คือเรื่องคิวบู๊ที่เพราะเฮียเฉนแกสูงอายุแล้วประการหนึ่ง สปีดไม่เร็วฟัดเหมือนเก่าก่อน ก็เลยต้องทำใจ และต้องยอมรับว่าเรื่องแอ็กชันอาจจะไม่มันส์เลือดฉีดเท่างานที่แล้วๆ แต่อย่างน้อยตอนดวลกันบนหอไอเฟลก็ไม่ำทให้ผิดหวัง หวาดเสียวกำลังดีซ้ำยังมีปมดราม่าแทรกเข้ามาเป็นยาดำให้มีรสชาติมากขึ้น
อีกจุดพร่องที่ออกจะเป็นส่วนตัวหน่อยคือ สาวๆ ในเรื่องนอกจากน้องซูหยางแล้ว เจ้าอื่นไม่ใคร่จะสวยน่ารักกระชากใจสักเท่าไหร่ อย่างเจ๊นักฆ่าบีดบินที่หน้าตาจริงๆ แล้วก็ไม่เลวนะครับ เคยผ่านงาน Memoirs of a Geisha มาแล้วด้วย แต่ในเรื่องเล่นแต่งหน้าที่จำกัดควมได้สั้นๆ ว่า “ป้ามากๆ” แล้วยังใส่ชุดกี่เพ้านั่นอีก ไม่บอกนึกว่าอาซิ้มขายบ๊ะจ่างแถวเยาวราช!
ส่วนอีกหนึ่งสาวจีโนวีฟก็ดูคมเข้ม แต่ไม่ใคร่จะได้ใจนัก รายนี้ก็ดูตอนออกงานก็สวยใช่เล่น แต่ในเรื่องแต่งหน้าทำผม ความสวยหายไปเยอะ ช็อตที่เธอสวยจริงๆ ผมว่าคือตอนที่เธอสบตาคาร์เตอร์ในห้องน่ะครับ ก่อนจะเอาปากประกบกันน่ะ ตอนนั้นเมคอัพเริ่มเลือนๆ เธอดูน่ารักขึ้นมาทันที
อันนี้ส่วนตัวเต็มร้อยครับ สองคนนี้ก็พอเรียกได้ว่าหน้าตาดี แต่เจอแต่งหน้าซะจนไม่เหลือเลย
แล้วสองสาวมาเจอความขาวแบบไม่ต้องแต่งหน้าของน้องซูหยางเข้าล่ะเป็นอันหายเข้ากลีบเมฆทันที (อย่าคิดมากครับ อันนี้รสนิยมล้วนๆ 5555)
แต่อย่างน้อยหนังก็มีจุดประทับใจเล็กๆ ให้ได้สัมผัส ก็คือเรื่องมิตรภาพของสองนักสืบต่างสีผิวคู่นี้
จุดใหญ่ใจความของหนังชุด RH ในความคิดผมไม่ใช่เรื่องแอ็กชันตีกันมันส์หยด แต่มันคือการที่หนึ่งตำรวจผิวดำจอมปากมาก กับอีกหนึ่งตำรวจชาวจีนที่พูดน้อยแต่ถนัดเรื่องฟัด สองรายนี้ต่างกันทั้งในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว ภาษา รอบแรกที่เจอกันต่างฝ่ายต่างก็หาเรื่องกันตลอด (ส่วนมากคาร์เตอร์จะเป็นคนหาเรื่องมากกว่า) จนแทบมองไม่ออกเลยว่าสองหน่อนี่จะไปด้วยกันได้
ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเพลง War ดังขึ้น
ไม่แน่ใจว่าเป็นความบังเอิญหรือจงใจของผู้กำกับ แต่การเอาเพลง War มาประกอบเหตุการณ์ที่ว่านี่ช่างเหมาะเจาะอย่างที่สุดเลยเชียว เนื้อเพลงค่อนข้างตรงไปตรงมาสะใจผม “สงคราม มีอะไรดีไหม คำตอบก็คือไม่ยังไงล่ะ!”
หลายประเทศรบกันด้วยเหตุผลทางธุรกิจการค้า ความต่างทางสังคม เชื้อชาติ ศาสนา หรือแม้แต่ความคิดเห็น ก็น่าสมเทพชคนเหล่านี้นะครับ ที่พอเจอว่าประเทศไหนมีวิถีที่ต่างไปจากตน ตนก็ทนไม่ไหวต้องสำแดงแสนยานุภาพกำราบให้เรียบวุธ แต่ใครจะยอมให้กำราบล่ะ สุดท้ายเลยกลายเป็นสงคราม คนที่ลำบากลำบนก็หนีไม่พ้นคนในชาติ
ความเห็นคนแค่ข้างบ้านยังต่างกัน สาอะไรกับวิถีของชาติที่อยู่คนละฟากสมุทร!
แต่บางคนไม่เข้าใจ เห็นว่าต่างคือแตก ต้องแยกให้รู้สึกนึก เลยเอาจรวดอาวุธประดามียิงใส่กัน ซึ่งประโยชน์คืออะไรล่ะ? จะให้ความเห็นตรงกันรึ ก็เปล่าอ้ะ ไม่ว่าจะเกิดสงครามกี่ครั้งไอ้ชาติที่ก่อสงครามก็ยังผยองเหมือนเดิม ส่วนชาติที่แพ้สงครามก็ไม่ยอมเปลี่ยนจุดยืนของชาติตนอยู่ดี
ฉากที่เอาเพลง War มาเชื่อมสัมพันธไมตรีของลีและคาร์เตอร์ในภาคแรกมันสื่อได้ยอดเยี่ยมว่า แทนที่จะหาความแตกต่างให้เกิดเรื่องชกต่อย เรามาหาจุดเหมือนเพียงเล็กน้อยแต่สามารถสร้างรอยยิ้มและความเข้าใจให้กันมันจะดีไหม
ลีและคาร์เตอร์ เริ่มต้นการรู้จักด้วยความต่างอย่างสุดขั้ว เอาปืนมาจ่อกันยังมีด้วยซ้ำ แต่พอได้เพลงที่โดนใจคนทั้งคู่ รู้ว่าเป็นคอเพลงแนวเดียวกัน เท่านั้นล่ะเหมือนภูเขาน้ำแข็งโดนละลาย ต่างฝ่ายต่างก็ยอมเปิดอกพูดสิ่งต่างๆ สร้างความเข้าใจแก่กันทันที จนทำให้ได้รู้ว่าพ่อของเขาทั้งคู่มีชะตากรรมตอนบั้นปลายคล้ายคลึงกัน แล้วเรื่องอาหารการกินก็ยังไปกันได้อีกต่างหาก รวมถึงเรื่องสาวๆ ก็หื่นบ้างพอทำเนาไปกันได้อีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อคนเราเอาแต่มองจุดต่าง เรกาจะเจอจุดต่างอยู่ร่ำไป แต่หากเรามองแบบสร้างสรรค์ สร้างความสัมพนธ์อันดีต่อกัน ขอเพียงมองจากจุดเหมือน แม้จะแค่เสี้ยวเดียว แต่ถ้าเราเจอได้มันก็เป็นเหมือนสะพานเชื่อมคนสองคนเข้าด้วยกันได้
คนเราทุกวันนี้แบ่งฝักฝ่ายไม่ใช่เพราะมองแต่จุดต่างเช่นนั้นหรือ? แล้วการมองแต่จุดต่างแบ่งพรรคพวกกันมันเป็นสุขกันหรือไม่?
RH เลยไม่ใช่หนังคู่หูตำรวจที่ขำขันอย่างเดียว มันมีมุมมองที่สร้างสรรค์ฝังอยู่ แล้วแต่คนดูจะเจอหรือไม่ … จริงๆ มันแทบไมได้ฝังล่ะครับอยู่ตรงหน้านั่นเลย
ในภาคสองนั้นหนังเอามันส์อย่างเดียวจนอย่างอื่นโดนกลบหมด ครั้นพอมาภาคสามผมก็นึกว่ามันจะไม่มีอะไรให้เก็บไปคิด แต่เอาเข้าจริงหนังก็ซ่อนเซอร์ไพร์ส มีมุมให้เอาไปคิดอีกแล้ว และแน่นอนว่ามันอาจจะสปอยล์ครับ ข้ามไปอ่านดาวเลยนะครับถ้าไม่อยากทราบ
แง่มุมสวยงามที่ว่าคือเรื่องมิตรภาพนั่นแหละ แต่เป็นอีกมุมหนึ่งให้มองกัน
ในเรื่องภาคนี้ลีเผยว่าตนเองคือเด็กกำพร้า ที่ได้รับการชุบเลี้ยงโดยตำรวจรายหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเขาต้องอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าร่วมกันเคนจิตัวร้ายของเรื่อง นั่นจึงเป็นเหตุให้ลีไม่อาจตัดใจเหนี่ยวไกยิงเคนจิได้ แม้จะมีโอกาสหลายครั้ง พอคาร์เตอร์ได้รับรู้เรื่องที่ลีเล่าทั้งหมดก็พยายามปลอบตามแบบฉบับ แต่ลีก็พูดออกมาด้วยความหงุดหงิดว่าเขาไม่มีพี่น้อง ตัวคนเดียว อยู่ลำพัง เท่านั้นล่ะครับคาร์เตอร์ตาโตเป็นไข่ห่านมองทันที พร้อมบอกว่า ไม่มีใครได้ไงวะ ก็ยืนหัวโด่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่นี่ไง แต่ลีก็ไม่ยอมรับ ด้วยการบันดาลโทสะนั่นแหละ สองคนเลยผิดใจกันไปพักหนึ่ง
นี่คืออีกมุมที่มองได้ว่า บางครั้งคนเราไม่ใช่ไม่มีมิตรภาพ หากแต่มีแล้วกลับไม่รักษามันไว้ต่างหาก
หลายคนบ่นว่าเหงา ไม่ยักกะมีเพื่อน ไม่ยักกะมีคนเข้าใจ บ่นไปทั้งชีวิต คำถามที่คนเหล่านี้น่าจะลองตั้งถามตนเองคือ อยากได้คนมาเข้าใจ แล้วตนเองเข้าใจคนอื่นบ้างหรือไม่?
ถ้าเราบอกว่าอยากได้คนที่เข้าใจ มีความจริงใจให้ คิดว่าคนแบบนี้น่าคบหา ก็น่าคิดว่าแล้วเราล่ะทำตัวเช่นนั้นหรือไม่ … เพราะถ้าไม่แล้ว ใครจะอยากคบหาเรา?
เรื่องมิตรภาพนี่เป็นคอนเซปต์หนึ่งของ RH จริงๆ ผมเลยออกจะโอเคกับภาคนี้อยู่บ้าง แม้หลายๆ อย่างจะไม่ใคร่จะลงตัวเต็มที่
สำหรับในส่วนของนักแสดง ก็หายห่วงครับ เฮียเฉินในบทลี ก็ไม่มีปัญหา แม้จะอายุมาก บู๊ไม่ไวทันใจเท่าของเก่า แต่ก็ไม่ผิดหวังล่ะน่า ซ้ำยังมีการแสดงอารมณ์ออกมาเป็นระยะๆ ด้วย เพิ่มมิติให้ลีอีกเยอะ ส่วน Tucker ก็ค่อนข้างอวบขึ้นนะครับ หน้ากางๆ ไงก็ไม่ทราบ บู๊ไม่มากเท่าภาคสองเหมือนกัน แต่เรื่องพล่ามหาเรื่องหาราวน่ะยังทำได้ดีตามเคย
Sanada ก็มาดเยี่ยมครับ เสื้อผ้าหน้าผมนี่ให้อารมณ์ยากูซ่าสุดๆ ตอนฟันดาบกับเฮียเฉินช่วงท้ายนี่ให้อารมณ์มันใช้ได้ รายนี้ก็เป็นดาราญี่ปุ่นที่เคยผ่านงานระดับฮอลลีวู้ดมาแล้วอย่าง The Last Samurai แล้วล่าสุดที่ผ่านตานักดูหนังบ้านเราไปคือคนม้าบินนั่นเอง
Max von Sydow ขานี้ดาราคลาสสิกมือระดับสูงแล้ว บทประเภทหัวหน้างานหรือไม่ก็ทูตนี่รับรองหายห่วง แม้จะโผล่ไม่มากแต่ก็โอเค แค่มองนิ่งๆ บารมีก็เกิดแล้ว, Kudoh ในบทนักฆ่าสาว และ Lenoir ในบทจีโนวีฟ ก็อย่างที่ร่ายไปครับ จริงๆ ดูดีแต่เล่นแต่งซะเพิ้งไปหมด เสียดายจริงๆ ความน่ารักเลยมาตกอยู่กับ Zhang ในบทน้องซูหยางหมดเลย แต่เธอไม่ใช่คนที่เล่นภาคแรกนะฮะ เดี๋ยวจะงงว่าโตขึ้นไว แล้วไฉไลปานนี้เลยหรอ
Tzi Ma กลับมารับบทฮั่นอีกครั้ง ก็ดูสมฐานะครับ เหมาะเป็นผู้นำระดับสูงได้อีกราย, Roman Polanski ผู้กำกับตำนานอีกราย เจ้าของงาน Chinatown และ The Pianist และงานอีกเพียบที่ผมโปรดทั้งนั้น มารับเชิญเป็นหัวหน้าตำรวจฝรั่งเศสที่หน้าแกเหมือนหนูมากๆ ครับ ท่าทางดูกวนแบบไม่ต้องออกแรงเลยจริงๆ
แต่รายที่ขโมยซีนแบบเต็มที่คือไอ้พี่จอร์จ คนขับแท็กซี่โคตรกวนที่สวมบทโดย Yvan Attal หนังฮาเยอะมากขึ้นก็เพราะพี่แกส่วนหนึ่งล่ะครับ ยิ่งตอนปั้นหน้าทำท่าเก๊กนี่สุดตรีนไปเลย เขาก็เป็นดาราตลกที่มีชื่อไม่ใช่เล่นในฝรั่งเศสนะครับ เคยคว้ารางวัลซีซ่าร์ (เปรียบได้กับออสการ์ของฝรังเศสน่ะแหละ) มาแล้วด้วย ไม่น่าแปลกใจครับ ก็พี่แกบ้าได้พอดีไม่หลุดเกินไปนี่หน่า อีกคนก็ Dana Ivey ดาราตลกรุ่นลายครามที่มาขโมยซีนไปพอตัวกับบทแม่ชีที่มาแปลภาษาฝรั่งเศสให้ ออกมาฮาอีกราย
ก็เป็นอีกครั้งที่ Ratner ไม่ทำให้ผิดหวัง หลังจาก X-Men: The Last Stand พี่แกทำดีแต่ดันห้วนไม่เต็มอิ่ม เล่นเอาผมกึ่งผิดหวังแกเหมือนกัน มาเรื่องนี้แม้จะไม่ถึงกับคืนฟอร์มตอนทำเป้าไว้อย่างยอดเยี่ยมใน Money Talks, Rush Hour 1 – 2, The Family man และ Red Dragon ก็ยังนับว่าไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่อันควรล่ะน่า
ใจจริงอยากให้มีภาคสี่ออกมาอีกนะครับ อยากให้ผูกเรื่องต่อเกี่ยวกับองค์กรนี้ เล่นได้ยาวแน่นอน อยู่ที่จะเล่นหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ไม่เสียฟอร์มหนัง RH ครับ มีพร่องบ้างแต่ก็พอทำใจได้ อย่างน้อยความสนุกก็ไม่หดหายจนเกินเหตุ
แนะนำว่า ดูพากย์ไทยโดยพันธมิตรซะนะครับ ท่านจะสนุกสนานแน่ๆ