Valiant One (2025)

“Valiant One” อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นที่พอใช้ได้และดราม่าหนักแน่นในเรื่องราวของทหารสหรัฐที่ปฏิบัติภารกิจใกล้เขตปลอดทหาร แต่กลับกลายเป็นเรื่องวุ่นวายและทำให้พวกเขาติดอยู่ในเกาหลีเหนือ ภาพยนตร์เรื่องแรกที่กำกับโดยสตีฟ บาร์เน็ตต์ โปรดิวเซอร์และผู้บริหารฝ่ายการผลิตที่คลุกคลีอยู่มานาน (“300”) ไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับแนวทาง “ติดอยู่หลังแนวข้าศึก” แต่นำเสนอการผสมผสานระหว่างฉากต่อสู้ที่ดำเนินเรื่องได้ดีและดราม่าของฮีโร่ที่ไม่เต็มใจ ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนหนังทหารโดยเฉพาะ “Valiant One” นำแสดงโดยเชส สโตกส์ (“ซีรีส์ Outer Banks”) และลาน่า คอนดอร์ (“ภาพยนตร์ To All the Boys”)

หนังเรื่อง Valiant One มีความยาว 87 นาที ไม่มีเวลาหรือความสนใจที่จะสำรวจตัวละครอย่างลึกซึ้งเกินไป แต่สามารถจัดการกับพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จ่าเอ็ดเวิร์ด บร็อคแมน (สโตกส์) ซึ่งประจำการอยู่ที่ค่ายฮัมฟรีส์ในเมืองพยองแท็ก ห่างจากเขตปลอดทหารไปทางใต้ 60 ไมล์ เป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรบ เขาตั้งเป้าที่จะไปอยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์มากกว่าจะใช้ชีวิตในเครื่องแบบ เขาเคยเป็นทหารในยุคเศรษฐกิจชั่วคราว และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหน่วยซีลของกองทัพเรือ ซึ่งการลงจอดฉุกเฉินในเขตปลอดทหารในชีวิตจริงทำให้บาร์เน็ตต์ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม บร็อคแมนไม่ใช่คนเกียจคร้านและแสดงตัวได้อย่างเหมาะสมเมื่อได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจคุ้มกันผู้รับเหมาก่อสร้างด้านการป้องกันประเทศพลเรือนที่น่ารำคาญและพูดจาฉลาดแกมโกงอย่างจอช วีเวอร์ (เดสมิน บอร์เกส) ในการบำรุงรักษาระบบเฝ้าระวังใกล้ชายแดนเกาหลีเหนือ

เรื่องราวต่างๆ เปลี่ยนแปลงจากเหตุการณ์ปกติไปสู่หายนะเมื่อเฮลิคอปเตอร์ของทีมถูกพัดออกนอกเส้นทางในพายุประหลาดและตกลงสู่พื้นในเกาหลีเหนือ ตามธรรมเนียมปฏิบัติในภาพยนตร์สงครามที่สืบทอดมายาวนาน ผู้บังคับบัญชาของภารกิจซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างเลอโบลด์ (คัลแลน มัลวีย์) ได้ให้คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจแก่บร็อคแมนและมอบปืนพกประจำกายที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนในครอบครัวทหารของเขา และปืนพกนี้จะมีบทบาทสำคัญทั้งในทางปฏิบัติและทางอารมณ์ในภายหลัง