![1360132568](https://10000tip.files.wordpress.com/2017/09/1360132568.jpg?w=639)
เมื่อเจมส์ บอนด์กลับมาโด่งดังทั่วโลกอีกครั้งใน Goldeneye นั่นเป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องกดดันสำหรับทีมงานครับ เพราะนั่นแปลว่าทั้งบริษัทออกทุน (MGM) และคนดูต่างคาดหวังในหนังบอนด์ตอนต่อไป ซึ่งคนที่ต้องรับภาระหนักที่สุดก็คือ Michael G. Wilson ลูกเลี้ยงของ Albert R. Broccoli ผู้ล่วงลับ เพราะเขาต้องขึ้นแท่นควบคุมดูแลทุกสิ่งแทน Broccoli ผู้คุมงานหนังบอนด์มากว่า 35 ปี
แต่ก็ยังดีครับที่เขายังมี Barbara Broccoli ลูกสาวของ Albert ที่ร่วมอำนวยการสร้างแบบเต็มตัวกับเขามาตั้งแต่ตอนที่แล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันร่วมแรงอย่างเต็มที่เพื่อรักษา “มรดก” ที่พ่อของพวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมา
งานแรกคือการหาตัวยผู้กำกับ ซึ่งพวกเขาอยากให้ Martin Campbell กลับมารับหน้าที่เดิม แต่ Campbell ได้บอกปฏิเสธเพราะเขาไม่อยากทำหนังบอนด์ 2 ตอนติดๆ กัน จากนั้นพวกเขาก็หันไปติดต่อ Roger Spottiswoode ที่เคยผ่านงานอย่าง Air America มาก่อน และรายนี้ก็ตอบรับทันทีครับ พร้อมทั้งเปิดเผยว่าจริงๆ แล้วสมัยที่ Timothy Dalton ยังเป็นเจมส์ บอนด์นั้น เขาก็เคยได้รับการทาบทามให้ไปกำกับเหมือนกัน
![1360136480](https://10000tip.files.wordpress.com/2017/09/1360136480.jpg?w=639)
ส่วนงานการเขียนบทนั้น ว่ากันว่าเค้าโครงของเรื่องมีบางส่วนนำมาจากไอเดีย Donald E. Westlake นักเขียนนวนิยายสืบสวนชื่อดัง ส่วนคนลงมือปั่นบทก็คือ Bruce Feirstein เจ้าเดิมจากตอน Goldeneye ซึ่งรายนี้ได้ไอเดียให้ “สื่อเป็นตัวร้าย” เนื่องจากเขาเคยทำงานหนังสือพิมพ์มาก่อน แล้วเขารู้ดีว่าการขายข่าวคือธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในโลก อีกทั้งยังทรงอิทธิพลสามารถชี้ทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างน่ากลัวยิ่ง
สำหรับภาคนี้ บอนด์ (Pierce Brosnan) ต้องเผชิญกับวายร้ายแห่งโลกยุคใหม่ ที่ไม่ได้ใช้ระเบิดรบพุ่งหรือยึดโลกด้วยการทำลายอย่างโจ่งแจ้ง แต่จะใช้ “สื่อ” ครับ ไม่ว่าจะสื่อทางข่าวสาร วิทยุโทรทัศน์ทั้งมวล สร้างกระแสเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ถ้าวันไหนไม่มีข่าวใหญ่ๆ ก็จะสร้างข่าวขึ้นมาเอง และตนก็จะเป็นคนเสนอข่าวนี้เป็นแห่งแรก (ก็มันสร้างข่าวเองนี่ครับ ย่อมวางคำพาดหัวไว้ล่วงหน้าได้) พร้อมโกยกำไรงามๆ เข้าบริษัทตน
ตัวร้ายรายนี้คือ เอลเลียต คาร์เวอร์ ซึ่งระยะแรกทีมงานได้ประกาศข่าวที่น่าฮือฮาว่าคนจะมารับบทนี้คือ Anthony Hopkins ซึ่งลุงเขาก็รับเล่นด้วยนะครับ แต่พอเข้าไปร่วมงานได้แค่ 3 วันก็ตบเท้าออกทันที เพราะ Hopkins ไม่ชอบระบบของกองถ่ายเท่าไร เนื่องจากมันไม่มีระบบระเบียบอะไรเลยครับ บทเปลี่ยนได้ทุกเช้า ทิศทางเรื่องก็ผันผวนไปตามแต่ผู้สร้างต้องการ แบบนี้ Hopkins เลยอำลาครับ ทำเอาแฟนๆ เสียดายไปเหมือนกัน แต่ก็ดีที่ทีมงานไปคว้าตัว Jonathan Pryce ดาราเจ้าบทบาทซึ่งก็แสดงได้ร้ายกาจ น่าหมั่นไส้ ชั่วจนน่ารังเกียจได้ดี
![1360136565](https://10000tip.files.wordpress.com/2017/09/1360136565.jpg?w=639)
ภารกิจของบอนด์คือสืบกรณีพิพาทที่ทะเลจีนใต้ซึ่งอาจจุดชนวนสงครามให้อังกฤษกับจีนพุ่งรบกัน แต่พอสืบไปมาก็พบความจริงว่าเป็นแผนของคาร์เวอร์ที่หมายมั่นจะจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 เพื่อตนจะได้กำไรจากการทำข่าว อีกทั้งยังได้สัมปทานเครือข่ายโทรคมนาคมในจีนอีก 10 ปีด้วย แบบนี้บอนด์ก็ต้องตั้นมันให้หงายเก๋งซักที
Tomorrow Never Dies คือบอนด์ตอนที่เน้นความสนุก เมามันส์ ยิงกันวิ่งบู๊กับอุตลุด ขนาดสาวบอนด์ก็ยังออกแนวบู๊เป็นสายลับจีนชื่อ เว่ย หลิน รับบทโดยซื้อเจ๊สู้ฟัด มิเชลล์ โหยว ที่ออกมาต่อกรกับวายร้ายเคียงบ่าเคียงไหล่บอนด์ ซึ่งในตอนแรกก่อนที่ตัวเลือกจะมาเป็นโหยว ก็มีข่าวลือว่าบทสาวบอนด์จะตกเป็นของ Natasha Henstridge ที่กำลังมาร้อนและมาแรง (ในตอนนั้น) จาก Species อันนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนเสียดายกันมากน้อยแค่ไหนน่ะนะครับ
ตามด้วย Teri Hatcher สาวสวยที่ตอนนั้นเพิ่งดังจากบทหวานใจซูเปอร์แมนในซีรี่ส์ Lois and Clark มาแสดงเป็นปารีส รักเก่าของบอนด์
Joe Don Baker ยังคงกลับมารับบทเป็น แจ็ค เวด CIA ผู้คอยช่วยบอนด์, Judi Dench ในบท M, Desmond Llewelyn ในบท Q และ Samantha Bond กับบทมิสมันนี่เพนนี แต่ละคนก็มาชูรสให้หนังอร่อยได้ครับ โดยเฉพาะ Pryce ที่แสดงเป็นคาร์เวอร์ได้น่ากระทืบสุดๆ
![1360136619](https://10000tip.files.wordpress.com/2017/09/1360136619.jpg?w=639)
ส่วนพล็อตก็เตือนสติให้สาระเหมือนกันนะครับ ว่าอย่าหลงเชื่อสื่อให้มาก เพราะสื่อสมัยนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ก็เยอะ จรรยาบรรณถูกซื้อไปก็มาก เราจึงควรมีวิจารณญาณติดสมองไว้ เพื่อกันไม่ให้คนพวกนี้หลอกลวงชวนเชื่อเอาได้ ยิ่งถ้าเป็นระดับผู้นำหรือผู้บริหารแล้ว จะต้องระวังไม่หลงเชื่อตามข่าวเพียงด้านเดียว ไม่งั้นบ้านเมืองและสังคมจะเกิดความระส่ำระสาย วุ่นวายจนเกินจะยับยั้งได้ แต่เราต้องฟังข่าวให้รอบด้าน ต้องวิเคราะห์ให้เหมาะควรเพื่อหาความจริงหรือสิ่งที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด มาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจใดๆ
ภาคนี้มาถ่ายทำในประเทศไทยด้วยนะครับ แต่ตามท้องเรื่องนั้นกลายเป็นประเทศเวียดนามไป เนื่องจากกองถ่ายมีปัญหาไม่สามารถเข้าไปถ่ายในสถานที่จริงได้ แต่กระนั้นก็มีเรื่องให้ฮาเล็กๆ เมื่อเรือลำที่พาตัวบอนด์เข้าเมืองเวียดนามนั้น ดันมีตัวหนังสือไทยเขียนหราอยู่เลย 5555
หนังเปิดตัวพร้อม Titanic ครับ แม้จะไม่โกยเงินมากเท่า แต่ก็ทำไปทั่วโลก $333 ล้าน (ทุน $110 ล้าน) เรียกว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ด้านคำวิจารณ์ก็ออกมาคละๆ กันไปครับ ที่ชอบก็ชอบตรงความเมามันส์ บู๊เว่อร์กับฉากไล่ล่าด้วยรถบังคับมือที่ออกมาสนุกสะใจ ซ้ำยังมีการรีมิกซ์เพลงธีมดั้งเดิมของบอนด์ซะจนเร้าใจยิ่งกว่าเก่า แต่คนที่ไม่ชอบก็ติติงเรื่องความไม่สมจริง จนเนื้อหาเริ่มใกล้สไตล์เบาๆ แบบบอนด์สมัย Roger Moore ของแบบนี้จึงเข้าข่ายลางเนื้อชอบลางยาครับ อยู่ที่ว่าคุณจะเป็นคอบอนด์แบบไหนเท่านั้นเอง
ส่วนผมก็ยังว่าสนุกครับ แอ็กชันก็มันส์ดี การเดินเรื่องก็ค่อนข้าวไว เพลง Tomorrow Never Dies ของ Sheryl Crow ก็มีเสน่ห์ชวนฟังแบบแปลกๆ ดีเหมือนกัน แม้พล็อตจะเบาไปบ้าง หรือฉากไคลแม็กซ์จะไม่อลังการอะไรมากมาย แต่โดยรวมแล้วบอนด์ภาคนี้ก็ยังสนุกไม่ผิดหวัง