เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักสไปเดอร์แมน เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่โดนแมงมุมกัด แล้วหลายเป็นผู้มีพลังพิเศษ ใช้พลังได้เหมือนแมงมุมเป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่ไม่มีใครในโลกไม่รู้จัก
หนังเล่าถึง ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (Andrew Garfield) เขาถูกพ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก ป้าเมย์และลุงเบนก็คือผู้ที่ดูแลเขา ปีเจอร์พยายามจะหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ปีเตอร์มีความรักครั้งแรกเธอคือ เกวน สเตซี่ (Emma Stone) เมื่อปีเตอร์ได้เจอกระเป๋าของพ่อ เขาก็พยายามสืบหาการหายตัวไปของพ่อแม่ ทำให้เขาไปพบห้องแล็บของดร.เคิร์ท คอนเนอร์ส (Rhys Ifans) อดีตคู่หูของพ่อที่เป็นตัวร้ายอย่าง เดอะ ลิซาร์ด โดยบังเอิญ เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ปีเตอร์ต้องเลือกการใช้ชีวิตที่อาจจะเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล
ก่อนหน้านี้ หนังซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจชาวโลกอย่าง สไปเดอร์แมน ออกสู่สายตาชาวโลกและเป็นที่รู้จักในนักแสดงอย่าง โทบี้ แม็คไกว์ สำหรับสไปเดอร์แมน สามภาคนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น แต่ยังไม่จบครับ ตำนานบทใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยนักแสดงใหม่ และอารมณ์ของหนังก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งในสไปเดอร์แมนภาคนี้ จะเล่าย้อนไปในช่วงที่ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ตัวนักแสดงของเรื่อง ยังมีพ่อแม่อยู่ครบ(ริชาร์ดและแมรี่) เล่าย้อนไปในสมัยไฮสคูล (ในภาคออริจินัลจะอยู่ในช่วงมหาวิทยาลัย)
ลำดับแรกที่จะของเอ่ยเกี่ยวกับการดำเนินเรื่อง หนังมีการดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน แต่ละหว่างนั้น หนังพยายามสอดแทรกปมต่าง ๆ ของตัวละครสำคัญทั้งฝั่งพระเอกและฝั่งตัวร้าย ทำให้คนดูติดตามและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่หนังภาคนี้ ค่อนข้างเน้นดราม่าเยอะไปหน่อย คือด้วยตัวนักแสดงที่ค่อนข้างให้อารมณ์ดราม่า และบทหนังก็ดราม่า มันเลยกลายเป็นสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นหดหู่ แต่น่าสนใจไปซะอย่างนั้น ดูบางฉาก มีน้ำตาตกเหมือนกัน
แต่ด้วยข้อสงสัยบางอย่าง ยังทำให้ผมคิดว่าบางพาร์ทมันยังดูง่ายเกินไป และมันยังเหมือนไม่เคลียร์ให้กระจ่าง มีหลายส่วนหลายช่วงของหนังที่สามารถทำให้กระจ่างหรือเพิ่ม Detailเข้าไปในหนังได้ มันเลยทำให้รู้สึกว่ามันยังไม่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าแย่ไปซะทั้งหมด ยังมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง อย่างพวกดนตรีประกอบ ก็ถือว่าทำออกมาได้สมบูรณ์
แต่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคงจะเป็น CG ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้เนียนและสมบูรณ์แบบ ภาพสวยและมีความแนบเนียนในเรื่องของชุด สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสีของชุดที่มีความเข้ม และมีการตัดสีเฉียบคมกว่าเดิม แต่สิ่งที่ผมขัดใจที่สุดคือการปล่อยใยแมงมุมของพระเอก ถ้าใครที่ดูหนังไตรภาค ก็อาจจะรู้ว่า พระเอกสามารถปล่อยใยได้จากข้อมือแบบธรรมชาติ แต่ในเวอร์ชั่นอะเมซิ่งนั้น กลับใช้อุปกรณ์เป็นเครื่องปล่อยใย ทำให้ผมรู้สึกว่า สไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นนี้ ก็เป็นแค่ฮีโร่ที่ใช้อุปกรณ์ช่วย ไม่ได้ให้อารมณ์การมีพลังพิเศษเลย
คะแนนของภาพยนตร์ 7/10 เป็นธรรมดาที่เราต้องไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนหน้า หนังให้อารมณ์สมัยใหม่มากกว่า แม้ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องย้อนไปในอดีตกว่าเวอร์ชั่นไตรภาค แต่หนังกลับเน้นดราม่ามากไป จนทำให้รู้สึกว่าฉากแอ็คชั่นมันน้อยลง มันเหมือนมาดูสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นดราม่ามากไป ไม่สมกับความคาดหวังเท่าไหร่
คะแนนของเอฟเฟคต์ 9/10 ต้องยอมรับว่าส่วนที่พัฒนาขึ้นมามากเหลือเกินอย่างวิชวลเอฟเฟคต์ รวมถึงความสวยงามของชุดที่บอกได้คำเดียวว่าเนียนและคมกริบมากกว่าเดิม เรื่องเอฟเฟคต์อาจเป็นจุดเด่นเพียงอย่างเดียวของภาพยนตร์เรื่องนี้ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คงจะเป็นการต่อสู้กับเหล่าวายร้าย การเคลื่อนไหวและลีลาการปราบผู้ร้ายที่ใช้CG บอกได้เลยว่าเด็ดสุด ๆ
ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้
1. คนที่กำพร้าพ่อแม่ น่าสงสารและน่าเห็นใจมากกว่าที่คิด ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เค้าเป็นเด็กหนุ่มที่เคยมีพ่อแม่ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าเสียพ่อแม่ไป ทำให้เค้าถูกป้าและลุงดูแลต่อ โดยให้ความรักกับเค้าไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่เลย แต่ความรักความอบอุ่นจากลุงและป้า ก็คงไม่เท่ากับพ่อแม่อยู่แล้ว
2. เมื่อมีพลังก็ต้องใช้พลังในทางที่ถูก อย่างเช่นปีเตอร์ ในช่วงที่เค้าต้องตัดสินใจระหว่างความรัก กับภารกิจหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เค้าจะช่วยผู้คนได้มากมาย แต่เค้าจะไม่มีความสุขกับคนที่เค้ารัก และปีเตอร์ก็ตัดสินใจที่จะเลือกหน้าที่ ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่คนหมู่มากกว่า นึกถึงความจำเป็นมากกว่าความรู้สึก
แม้ว่าสไปเดอร์แมนภาคนี้จะดึงดราม่าเยอะไปหน่อย เพราะหนังเน้นให้เห็นพาร์ทเศร้าของปีเตอร์ และอดีตช่วงที่เค้ายังมีพ่อแม่ครบ และหนังก็น่าสนใจในเรื่องของเรื่องราวไม่น้อย