ดูมาแล้วครับ ร้อนๆ สำหรับตอนที่สามของ X-Men ซึ่งผมก็ออกจะคาดหวังอยู่นิดๆ ครับ เพราะเนื้อเรื่องมันยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสามภาค อีกทั้งผู้กำกับก็คือ Brett Ratner แห่ง Rush Hour 2 ภาค แล้วก็ Red Dragon ซึ่งผมว่าผลงานของเขาทุกเรื่องออกมาโอเคนะครับ ค่อนไปทางสนุกเลยล่ะ
ผมก็ชอบเกือบทุกเรื่อง แม้แต่ The Family Man ก็ถือว่าออกมาไม่เลว ความเห็นผมในตอนแรกเลยออกจะสวนทางกับแฟนๆ X-Men ที่คัดค้านไม่ให้ Ratner มากำกับ เพราะผมว่าพี่ท่านก็เก่งอ้ะ มาทำเรื่องนี้ก็น่าจะไหว
**** โอ้ะๆๆๆ คือ อย่างนี้นะครับ จริงๆ ผมพยายามไม่สปอยล์หนังเท่าไหร่แล้ว แต่ก็มีหลุดๆ มาบ้างซึ่งผมเห็นว่ามันไม่ใช่สปอยล์ร้ายแรงครับ จริงๆ ถ้าท่านรู้แล้วอาจจะทำให้หนังดูสนุกขึ้นก็ได้ ผมแค่พยายามเล่าให้เห็นภาพตามเท่านั้น ก็ลองตัดสินใจดูนะครับ ว่าจะอ่านต่อหรือไม่ ถ้าไม่งั้น ไปตรงท้ายดูสรุปเลยก็ได้ครับ*****
สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ผมถือว่าเข้มข้นที่สุดเลยครับ เริ่มจากการมาของ “ยารักษาอาการมิวแตนท์” ที่จะทำให้ใครก็ตามที่เป็นมิวแตนท์ไม่เหลือพลังใดๆ อีกต่อไป ซึ่งยาที่ว่านี่คิดค้นโดย วอร์เรน วิธธิงตันที่ 2 (Michael Murphy) มหาเศรษฐีแห่งวงการอุตสาหกรรม และการมาของยาตัวนี้ก็เป็นชนวนให้แม็กนีโต้ (Ian McKellen) ต้องการก่อสงครามเพื่อล้างผลาญมนุษย์และมอบอำนาจให้แก่มิวแตนท์ทั้งมวล
แต่ก็แน่ล่ะครับว่าทางฟากของศจ.ชาร์ลส เซเวียร์ (Patrick Stewart) ก็ย่อมไม่เห็นด้วยและหาทางปกป้องเหล่ามนุษย์แน่นอน การเผชิญหน้าก็เลยเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีเนื้อเรื่องการกลับมาของจีน เกรย์ (Famke Janssen) หลังจากการเสียสละของเธอในภาคก่อน คราวนี้เธอก็กลับมาด้วยพลังไร้ขีดจำกัด และเธอก็ไม่ใช่จีนอีกต่อไป เธอกลายเป็น ดาร์คฟีนิกซ์ … มิวแตนท์ทรงพลังที่โดนด้านมืดครอบงำ
เห็นมั้ยครับ จากเรื่องราวต่างๆ เข้มข้นขนาดนี้ ภาคนี้คงสุดยอดแน่ๆ แล้วผมก็ได้คำตอบซะทีว่า Ratner สามารถลบซึ่งคำสบประมาทของเหล่าแฟน X-Men ได้หรือไม่
และคำตอบคือ …
งานนี้พี่ Brett Ratner ของผมคงโดนแฟนๆ การ์ตูนยำไม่ใช่น้อยล่ะครับ
เปล่าครับ หนังไม่ได้ห่วยขนาดนั้นหรอกนะฮะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด … เอางี้ เรามาว่ากันทีละประเด็นเลยดีกว่า
ส่วนที่หายห่วงได้เลยของหนังก็คือ Effect ครับ เนี๊ยบเนียน ขาวสวย เอ้ย ไม่ใช่แล้ว หมายถึงเนี๊ยบครับ ไม่มีหลุดอยู่แล้ว งานดนตรีก็ออกมาดี (โดยฝีมือของ John Powell) และบทก็เขียนออกมาได้น่าสนใจ
แต่ปัญหาใหญ่ของหนังคือ ความกระชับสั้นจนเกินไปครับ
ก็ลองนึกภาพนะครับ ปัญหาที่ว่านี่เป็นอันเดียวกับที่เคยเกิดกับหนังที่สร้างจากนิยายหลายเรื่อง อันที่เป็นหนักเลยก็คือ Harry Potter And The Prisoner of Azkaban ตอนนั้นผมดูไปก็ตะขิดตะขวงในใจล่ะครับ เพราะรู้สึกว่าหนังมันควรจะมีอะไรมากกว่านี้ แต่หนังดันเล่าแค่ผ่านๆ จนพอหนังจบผมก็ค้างคาใจอย่างแรงครับ เพราะมันรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่
พูดแบบตรงๆ คือ ก็ในเมื่อหนังมันมีรายละเอียดดีๆ เยอะที่จะทำให้หนังแน่นขึ้น ทำไมไม่นำเสนอให้ครบถ้วน … จะรีบสั้นไปไหน?
และนั่นคือสิ่งที่เกิดกับ X-Men 3 ครับ
อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าบทร่างของภาคนี้เข้มข้นมาก และเข้มทุกส่วนเลยนะครับ ขนาดการกำเนิดของยารักษามิวแตนท์นี่ก็น่าสนใจแล้ว คือ เจ้ายาตัวที่ว่านี่คิดค้นโดยมหาเศรษฐีวอร์เรน ที่ผมบอกไปข้างต้นน่ะนะครับ ซึ่งวอร์เรนแกไม่ได้จู่ๆ ก็อยากจะกำจัดมิวแตนท์เลยนะครับ เขาไม่ได้มีอคติกับมิวแตนท์ เพียงแต่เขาเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไปที่มีความกลัวต่อมิวแตนท์ และที่หนักเลยคือ ลูกชายของเขาก็เป็นมิวแตนท์ (ซึ่งก็คือ แองเจิ้ล มิวแตนท์มีปีก ที่รับบทโดย Ben Foster) เขาเลยพยายามหาทางคิดยารักษา ไม่ใช่เพื่อใคร แต่จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อช่วยลูกของเขาเอง
ฉากสำคัญที่ปรากฏตั้งแต่ตอนแรกของหนังคือ ภาพแองเจิ้ลตอนยังเด็ก ซึ่งหนังนำเสนอได้ไม่เลวครับ เราจะได้เห็นแองเจิ้ลน้อยพยายามทำลายปีกของตนเองท่ามกลางความเจ็บปวด และวอร์เรนผู้พ่อก็พังประตูเข้ามาเห็น เห็นลูกตัวเองเจ็บปวดจนตัวสั่นเทา … นั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่เขาจะทำทุกวิธีทางเพื่อรักษาอาการมิวแตนท์ … เขาไม่ต้องการให้ลูกหรือใครก็ตามที่ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับลูกชายต้องเจ็บปวดอีกต่อไป
ฉากที่ว่า ผมว่า Michael Murphy ผู้รับบทวอร์เรนผู้พ่อนี้ แสดงได้ดีนะครับ เขาก็เป็นดารายอดฝีมืออีกรายที่ไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถ้าดูกันดีๆ แววตาเขาตอนมองลูกทุกครั้งไม่ใช่สายตารังเกียจครับ เป็นสายตาเจ็บปวดชัดๆ … ยิ่งตอนท้ายเมื่อเขาโดนพวกมิวแตนท์ชั่วจับตัวและจะทำร้าย เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจมิวแตนท์เหล่านั้นเลย แต่เขากลับพยายามอธิบายว่าที่ตัวเองทำเพื่อช่วยคนต่างหาก ไม่มีเจตนาจะทำร้ายใครเลย เขาแค่ … แค่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกจริงๆ ไม่มีเจตนาเคลือบแฝงใดๆ ไม่เหมือนนายพลตัวร้ายในภาค 2 ที่ตรงกันข้ามกับวอร์เรนโดยสิ้นเชิง
ผมอยากจะบอกครับว่า เอาแค่ปมนี้ ช่วงท้ายรับรองได้ คนดูได้ลุ้นจนตัวสั่นแน่ๆ ว่าชะตากรรมของเขาจะลงเอยอย่างไร เพราะดาราเล่นดี และปมแบบนี้ใครๆ ก็เห็นใจครับ นายคนนี้เป็นคนดีและรักลูกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้านำเสนอแน่นกว่านี้ มีหรือที่จะไม่ทำให้หนังแน่นไปกว่านี้ได้
แต่หนังกลับนำเสนอแบบผ่านๆ เท่านั้นครับ ไอ้ที่ผมบรรยายมานี่ผมต้องมานั่งนึกเองหน้าโรงครับ ตัวหนังไมไ่ด้เร้าอารมณ์เราไปในทางนั้นเลย มันเหมือนแค่ว่า วอร์เรนคิดยา และจะใช้กับมิวแตนท์ โดยให้ลูกตนเองใช้เป็นคนแรก … จบ!
… นั่นเลยพลอยทำให้การเปิดตัวแองเจิ้ล มิวแตนท์มีปีกก็ออกมาแบบ “เฮ้ มาให้เห็นแล้วนะ … ไปล่ะ”
คิดในใจเหมือนกัน “เอ็งโผล่มาเป็นนกพิราบแค่เนี้ยอ้ะนะ”
ผมเลยมานั่งเสียดายครับ แค่ปมนี้ปมเดียวก็ยกระดับให้หนังดีไม่แพ้ภาคสองได้แล้วล่ะ
และนั่งเสียดายยิ่งขึ้น เพราะปมอื่นๆ ในหนังก็โดนนำเสนอแบบรีบๆ อีหรอบนี้ทั้งสิ้น เรื่องจีนก็เหมือนกันครับ เล่าแบบให้จบๆ ไม่ได้สื่อลึกลงไปในความรู้สึกเธอเท่าไหร่ ซึ่งก็ยังดีที่ Janssen แสดงได้ยอดครับ และยังได้โผล่เยอะหน่อย
แต่ก็มีคำถามเดิมครับ … จะรีบไปไหนเหรอ
อันนี้ไม่เหมือนกับตอนดู The Da Vinci Code ซะทีเดียวนะครับ เพราะพวกหนังจากนิยาย โอเค รายละเอียดต้องโดนรวบเพราะเล่าในหนังได้ไม่หมด อ้า อันนั้นเข้าใจ แต่นี่คือเอ็งเปิดปมมาแล้วอ้ะครับ รายละเอียดไม่ได้ขาดหาย แต่จะช่วยเล่าให้มันถึงอารมณ์แบบหนังภาคสองไม่ได้รึยังไง … คำถามเดิมครับ จะรีบไปไหนกัน
ในขณะที่ดารารายอื่นๆ แม้จะแสดงได้ไม่เลว แต่บทเหมือนโดนเฉือนซะอย่างนั้นน่ะ ไม่ว่าจะวูลฟ์เวอรีน (Hugh Jackman) หรือ สตอร์ม (Halle Berry) แต่รายที่เสียหายมากๆ ก็คือ โร้ก (Anna Paquin), มิสตีค (Rebecca Romijn), ไซคลอปส์ (James Marsden), แองเจิ้ล และ ศจ.เซเวียร์ (Patrick Stewart) ที่ออกมาเป็นตัวประกอบชัดๆ โดยเฉพาะรายเซเวียร์นี่ … เฮ่อ ถ้าออกมามากกว่านี้และเด่นกว่านี้นะ ฮึ่มๆๆๆ ต้องสุดตีน!
จุดนี้เลยเปรียบเทียบกับภาคสองได้ชัดเจนมากครับ เพราะภาคสองตัวละครเยอะเหมือนกัน แต่ไม่รู้ผู้กำกับ Bryan Singer ทำอีท่าไหนตัวละครทั้งหลายถึงได้แบ่งความเด่นกันได้อย่างค่อนข้างลงตัวสุดๆ ขนาดพี่ไนท์ ครอว์เลอร์โผล่ไม่มาก แต่เรารู้ครบอารมณ์เลยครับว่าแกคิดอย่างไรกับมนุษย์ แกไม่ใช่คนเข้มแข็งอ้ะ
ไปๆ มาๆ คนที่เด่นนอกจากจีนก็มี บ็อบบี้ เดอะ ไอซ์แมน (Shawn Ashmore) กับ คิตตี้ ไพรด์ หรือมิวแตนท์ฉายาชาโดว์แคท (Ellen Page ที่น่ารักสุดๆ ครับผม 5555) ที่เข้าคู่กันได้ดี กับอีกรายที่ไม่ต้องพูดถึงเลยก็คือ Ian McKellen กับบทแม็คนีโต้ ที่แม้จะออกน้อยแต่ท่านก็แน่ครับ ตอนแสดงทีท่ากลัวจีนนี่สุดยอดมากๆ ก็จัดเป็นคนเดียวล่ะครับที่ขโมยซีนชาวบ้านได้ และอีกรายที่ทำได้ดีก็คือบทบีสต์ หรือดร.แฮงค์ แมคคอย รัฐมนตรีกระทรวงมนุษย์กลายพันธุ์ที่ได้ Kelsey Grammer มารับบทไป งานเมคอัพทำได้ดีมากๆ ครับ แล้วฉากเปิดตัวก็น่าจะทำให้แฟนการ์ตูนฮาได้ในระดับหนึ่ง เพราะที่แกทำนั้นเป็นเอกลักษณะเลยครับ
ดังนั้นจุดด้อยของภาคนี้เลยเป็นว่า การนำเสนอเรื่องราวห้วนๆ เกินไป ช่วงแรกนี่รีบมากครับ ไม่ทราบจะรีบไปไหน ตัวละครที่ควรถูกเน้นก็ดันออกมาแบบนิ่งเกินไป จนผมอดเสียดายไม่ได้ และการแบ่งความเด่นตัวละครไม่ค่อยทั่วถึงครับ ทำให้พอมีตัวละครไหนเจอเรื่องร้ายเข้า คนดูก็ไม่ค่อยจะสะเทือนเท่าตอนที่จีนตัดสินใจสละชีวิตในภาค 2
ส่วนในเรื่องฉากแอ๊คชั่น ก็ถือว่าพอได้ แต่หากเทียบกับงานก่อนๆ อย่างพวก Rush Hour เงี้ย ก็รู้สึกเลยครับว่ามันอ่อนพลังยังไงพิกล ยิ่งพอมาถึงศึกใหญ่ในตอนท้ายก็ไม่ค่อยจะสมหวังเท่าไหร่ ไอ้ตอนที่เหล่า X-Men ลงมาขวางพวกของแม็กนีโต้นั่นทำได้ดีครับ แต่ตอนมวยคู่เอกจริงๆ อย่างไอซ์แมนกับไพโร (Aaron Stanford) นี่ดันออกมาจืดมาก อันนี้ออกจะหงุดหงิดเหมือนกันครับ เพราะหนังปูพื้นตั้งแต่ภาคก่อนแล้วว่าคู่นี้ต่อยกันนัวเนียแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ดันยิงพลังแป๊บๆ จบ … โธ่
แต่รายที่เล่นเอาเซ็งหนักก็คงเป็นแม็กนีโต้นี่แหละ โธ่ ลุง อุตส่าห์เข้มมาสองภาค มาภาคนี้ … ทำไมง่ายจังอ้ะลุง
… โอ้ นี่ผมทำท่าจะสับหนังมากเลยนะครับเนี่ย ตอนแรกไม่คิดจะบ่นขนาดนี้หรอก แต่พอมานั่งคิดดีๆ ก็ได้ออกมาเป็นฉากๆ เลยครับ
ไปๆ มาๆ นี่น่าจะเป็นผลงานที่สนุกน้อยที่สุดของ Ratner ไปแล้วล่ะครับ คือถ้าว่ากันอย่างแฟร์ๆ ดูแบบไม่คิดมาก็ได้น่ะครับ เพราะมันก็ดูได้เพลินๆ แต่ถ้าเทียบกับภาคก่อนๆ ก็คงต้องบอกว่ายังอ่อนพลัง ด้วยเหตุผลที่บอกน่ะแหละ บทมันเอื้อให้ภาคนี้เป็นการปิดท้ายที่ยิ่งใหญ่ครับ แต่การเล่าเรื่องดันทำให้การปิดท้ายนี้เป็นเรื่องจำใจมากกว่า ประมาณว่าจะรีบๆ เล่าเรื่องให้มันจบๆ ซะจะได้จบๆ ไป หรือไม่ก็มัวเน้นตรงฉากแอ๊คชั่นซึ่งถือว่าผิดเลยนะครับ X-Men ไม่ใช่การ์ตูนที่เน้นแอ๊คชั่นอย่างเดียว แต่มันจะมีประเด็นมิติของตัวละครมาเป็นเครื่องจักรที่สำคัญพอดู
ออกอารมณ์ผิดหวังหน่อยๆ ครับ โอเค ผมคงเรื่องมากไปหน่อยน่ะ ถ้าตัดไอ้ที่ผมบ่นออกไปทั้งหมด หนังก็ถือว่าเป็นแนวแอ๊คชั่นที่ดูเพลินดีครับ สนุกในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ให้อะไรมากกว่าความบันเทิง จริงๆ มันมีสาระเยอะครับ แต่ตัวหนังเองกลับไม่สนใจที่จะชูประเด็นเหล่านั้นเท่าไหร่
ดูได้แบบอย่าคาดหวังครับ และขอให้มี X-Men 4 ออกมาด้วยเถิด ถ้าปิดท้ายแบบนี้คาใจนะครับ ไม่สมเกียรติ X-Men เท่าไหร่เลย