ปีนี้ได้ดูหนังที่ Greta Gerwig แสดง 2 เรื่อง (เรื่องนี้และ Mistress America) และปีหน้าก็จะได้ดูอีกเรื่องคือ 20th Century Women หนังหวังรางวัลอีกเรื่องซึ่งก็ดูจะน่าสนใจไม่ใช่น้อย
การได้เห็นการแสดงของเธอหลายๆ เรื่องเข้าก็รู้สึกครับว่าเธอคนนี้เป็นคนมีของ เล่นหนังลื่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คล้ายๆ เอา Woody Allen มาบวกกับ Brie Larson แล้วก็ได้มาเป็นตัวเธอนี่แหละ
เรื่องนี้ก็ออกแนวยั่วล้อคนที่ชอบวางแผนชีวิตน่ะครับ ตัวเอกคือ แม็กกี้ (Gerwig) สาวสวยที่คิดจะมีลูกโดยการผสมเทียม เพราะเธออยากมีลูก แต่ไม่อยากมีพันธะหรือสามี เลยวางแผนไว้ดิบดีเลยครับ ตั้งแต่การขอสเปิร์มจากคนอื่น และดำเนินการผสมเทียมด้วยตนเอง
แต่ไปๆ มาๆ ชีวิตน่ะมันออกแบบเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก เพราะเธอดันไปตกหลุมรัก จอห์น (Ethan Hawke) ชายที่แต่งงานแล้วกับหญิงสุดฉลาด และออกแนวชอบบงการ นามว่า จอร์เจียต (Julianne Moore) และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มที่ทำให้แผนของแม็กกี้เป็นอันวุ่นไปหมด
หนังเป็นส่วนผสมระหว่างดราม่ากับตลกแบบ Woody Allen ครับ ก็เข้ากับการแสดงของ Gerwig ดี เพราะเธอเล่นหนังแบบนี้ต่อกันมาหลายเรื่องแล้ว และเธอก็เล่นได้เหมาะมากครับ เธอถ่ายทอดอารมณ์เชิงดราม่าได้ดี คืออาจจะไม่ได้ถึงกับซึ้ง แต่ก็พอเหมาะกับหนังดราม่าผสมอารมณ์ขันแบบนี้
และพอถึงฉากฮาๆ ก็หายห่วงครับ เธอถ่ายทอดบทตลกแบบธรรมชาติได้น่ารักดี มันไม่ได้เป็นแบบฮาแตก แต่ออกแนวเป็นตลกคำพูด พูดแบบเสียดสีสิ่งต่างๆ แบบที่เราคุ้นมากับหนังของ Allen น่ะครับ
ก็ต้องบอกก่อนว่าจังหวะมันอาจไม่ได้ลงล็อคเหมือนหนังของ Allen นะ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่เดินรอยตามขนบนั้นได้ดีทีเดียว และถ้าเธอยังเล่นหนังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมว่าเธอจะเป็นเจ้าแม่ของหนังแนวนี้ได้สบายๆ เลยนะ เหลือแค่ว่าเธอจะผันตัวมากำกับอีกเมื่อไรเท่านั้นเอง (เพราะเธอเคยชิมลางกำกับมาแล้วใน Nights and Weekends ซึ่งก็ยังไม่ถึงกับเด่นอะไรมาก)
ดาราสมทบในเรื่องก็เล่นกันได้มืออาชีพหมดครับ ไม่ว่าจะ Hawke, Moore, Bill Hader (Trainwreck) และ Maya Rudolph (Sisters) ดังนั้นในแง่ดาราน่ะหายห่วง ในขณะที่การเดินเรื่องก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าถามว่าเด็ดไหม ห้ามพลาดไหม หรือลงตัวไหม ก็คงต้องตอบไปตามใจคิดว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น
หนังมีพล็อตตั้งต้นที่ดีครับ ดาราก็ดี ประเด็นที่หนังชวนให้คิดจริงๆ ก็ไม่เลว ไม่ว่าจะเรื่องความจริงง่ายๆ ที่ว่าชีวิตหรือความรัก มันออกแบบไม่ได้หรอกครับ คือเราอาจจะวางแผนได้ คาดหวังได้ พยายามทำให้ฝันเป็นจริงได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ มาส่งผลต่อชีวิตของเรา มันอาจช่วยให้ชีวิตเราเป็นไปตามแผน หรือไม่ก็พัดพากระแสชีวิตเราไปทางอื่นเลยก็ได้
จนอดคิดไม่ได้ครับว่า จริงๆ ไม่ว่าเราจะวางแผนหรือไม่ ตราบใดเรายังไม่ตาย ชีวิตก็ยังดำเนินต่อ ที่เหลือก็แค่ว่ามันจะดำเนินต่อไปทางไหนเท่านั้นล่ะ ซึ่งเราอาจจะวางแผนวางทิศทางไว้ได้บ้างล่ะครับ แต่เราก็ต้องเผื่อใจเตรียมรับความไม่แน่นอน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกิดแทรกเข้ามาได้ทุกขณะด้วย
หากเรารู้จักฝึกตนให้มีสติ พร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ ล่ะก็ มันจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ชีวิตเราใกล้เคียงกับที่เราต้องการหรือวางแผนไว้ แม้จะมีปัจจัยมาแทรก แต่หากเรารับมือกับความไม่แน่นอนได้ และเรียนรู้ที่จะปรับให้ “ความคิดหวัง หรือ แผนของเรา” ไปด้วยกันได้กับ “กระแสแห่งชีวิตจริง” ล่ะก็ ชีวิต ณ จุดปลายทางของเรา ก็คงเรียกได้ว่า “ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงกับชีวิตแบบที่เราต้องการ” อยู่บ้าง
และที่สำคัญคือ บางครั้งความคาดหวังหรือแผนของเรา อาจกลายเป็นสิ่งบดบังเราจากสิ่งที่ดีหรือเหมาะกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างที่ตอนจบของหนังแสดงให้เห็นนั่นแหละครับ ว่าบางทีสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา และเราไม่เคยเห็นค่านั้น อาจเป็นอะไรที่เติมเต็มชีวิตเราก็ได้
ครับ สรุปว่าหนังก็ดูได้เพลินๆ อาจไม่ได้ลึกหรือลงตัวกลมกล่อมไปเสียทั้งหมด ว่าง่ายๆ คือในแง่ความเป็นหนังแล้ว มันยังไม่ได้สนุกหรือน่าติดตามแบบเต็มที่ จริงๆ คือมีบางวาระที่ดูอืดช้าไปด้วย แต่อย่างน้อยหนังก็มาพร้อมสาระชวนให้เราทบทวนชีวิต ให้รู้จักเปิดตามองไปรอบๆ ตัวในยามที่เรากำลังใช้ชีวิต ไม่ใช่เอาแค่ฟุ้งฝันหรือวางแผนชีวิตทั้งหมด เพียงจากความคิดในหัวเล็กๆ ของเราอย่างเดียว
เพราะโลกมันกว้างไกล และชีวิตมันลึกซึ้งกว่าที่เราลำพังจะหยั่งถึงได้ ^_^