อีกหนึ่งหนังว่าด้วยกีฬาเบสบอลที่ผมประทับใจครับ นอกจากจะดูสนุกเบาสมองแล้วยังสอดแทรกความซาบซึ้งกินใจลงไปแบบพอเหมาะอีกด้วย
หนังสร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริงครับ โดยเล่าถึงอเมริกาในยุค 1943 ที่ตอนนั้นด้วยภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ชายชาวอเมริกันจำนวนมากต้องไปออกรบ บ้างก็เสียชีวิต บ้างก็หายสาปสูญ ส่งผลให้จำนวนประชากรเพศชายขาดแคลนจนกระทบไปถึงภาคส่วนต่างๆ ของประเทศรวมไปถึงวงการกีฬา ว่าง่ายๆ คือไม่มีผู้ชายเพียงพอที่จะมาเล่นกีฬาตามลีคส์ต่างๆ
แต่ด้วยความที่การแข่งกีฬานั้นมันก็คือธุรกิจชนิดหนึ่ง และยังเป็นเครื่องสร้างความบันเทิงให้คนผ่อนคลายจากข่าวสงครามด้วย ทำให้วอลเตอร์ ฮาร์วี่ย์ (Garry Marshall) ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจลูกอมขนมหวานที่เป็นสปอนเซอร์ของทีมเบสบอลชิคาโก้คัพส์เกิดปิ๊งไอเดียที่จะเกณฑ์ผู้หญิงมาเล่นเบสบอลแทน เขาเลยมอบหมายให้ไอรา โลเวนสทีน (David Strathairn) ให้ช่วยจัดแจงเรื่องการตั้งลีคส์แข่งขันเบสบอลสำหรับผู้หญิงขึ้น แล้วก็ให้แมวมองตาเหยี่ยวอย่างเออร์นี่ย์ คาพาดิโน่ (Jon Lovitz) ไปออกภาคสนามหาผู้หญิงที่หน่วยก้านดีมาเป็นนักกีฬา
ตัวเอกของเรื่องคือด็อทตี้ (Geena Davis) และคิท (Lori Petty) 2 พี่น้องที่รักกีฬาเบสบอลด้วยกันทั้งคู่ กับการโดดลงเล่นในฐานะผู้แข่งขันชิงแชมป์เป็นครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับพวกเธอเท่านั้นนะครับ แต่สำหรับผู้หญิงทั้งประเทศเลยล่ะ ซึ่งระหว่างนั้นพวกเธอก็ต้องเจอทั้งอุปสรรคอย่างการโดนคนดูถูก (ทั้งผู้ชายหรือกระทั่งผู้หญิงด้วยกัน) ไหนจะผู้จัดการทีมขี้เมาจิมมี่ ดูแกน (Tom Hanks) ที่แทบไม่ได้ช่วยพวกเธอซ้อมหรือวางแผนอะไรเลย แล้วท้ายที่สุดพวกเธอจะสามารถไปถึงเป้าหมายซึ่งก็คือการเป็นแชมป์ได้หรือไม่ ก็ลองติดตามกันต่อได้ในหนังนะครับ
เป็นหนังที่ดูแล้วชอบครับ มันครบรสทั้งความตลกเบาสมอง, ความลุ้นในสนามว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รวมถึงประเด็นดราม่าและสังคมที่ใส่เข้ามาแบบกลมกล่อม ก็ขอชมคนเขียนบทเลยครับ อันได้แก่ Kim Wilson และ Kelly Candaele ที่ช่วยกันผูกเรื่องตั้งต้น ตามด้วย Lowell Ganz และ Babaloo Mandel ที่ช่วยเกลาเรื่องต่อให้ลงตัวและเปี่ยมอารมณ์ขัน
และอีกคนที่ขอยกนิ้วให้คือ Penny Marshall (Big และ Awakenings) ผู้กำกับหญิงเก่งอีกคนของวงการ (เป็นน้องสาวของ Garry Marshall) ที่คุมเรื่องได้สนุก ช่วงแข่งกีฬาก็มีลุ้น ช่วงดราม่าก็ซาบซึ้งกันไป อีกทั้งทีมดาราที่ถือว่าเลือกมาได้เหมาะเหม็งในทุกบท เริ่มจาก Davis ที่เหมาะมากกับบทพี่สาวสุดแกร่งที่รักและห่วงใยน้องสาวของตัวเองเสมอ ในขณะที่ Petty ก็ดูเข้าสุดๆ กับบทน้องสาวจอมเอาแต่ใจและไม่ค่อยจะเข้าใจเจตนาที่ดีของพี่สักเท่าไร ซึ่งแน่นอนครับว่าปมของพี่น้องคู่นี้เป็นหนึ่งในปมที่สร้างความซึ้งให้กับหนังได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ก็ยังมี Madonna ในบทเมย์ มอร์ดาบิโต้ เจ้าของฉายา “เมย์ถึงไหนถึงกัน” สาวซ่าส์แสบและเซ็กซี่ประจำทีม ซึ่งบทเธอก็ไม่ได้ถึงกับเด่นมากนะครับ แต่ก็ถือเป็นชูรสที่ไม่เลวทีเดียว, Rosie O’Donnell ในบทดอริส เมอร์ฟี่ย์ คู่หูของเมย์ที่แสบไม่แพ้กัน และช่วยชูรสได้โอเคเช่นกัน แต่รายที่ขโมยซีนต้องยกให้ Megan Cavanagh ในบท มาร์ล่า ฮูช ที่เล่นเบสบอลเก่งแต่หน้าตาไม่สวยอย่างใครๆ เขา บทของเธอทำให้หนังมีวาระฮาดีๆ และวาระแห่งความซึ้งเด็ดๆ อยู่หลายรอบเหมือนกัน
ในขณะที่ Hanks แม้ชื่อจะนำหน้าในเครดิตแต่บทจะออกแนวสมทบให้กับเหล่าสาวๆ นักเบสบอลมากกว่า แต่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าไม่เด่นนะครับ เข้าข่ายเล่นไม่มากแต่ก็ทำให้คนดูจดจำได้ไม่ใช่น้อย และอีกคนที่เล่นได้เยี่ยมคือ Strathairn ครับ เขาดูเป็นคนใจดีมีคุณธรรมและยังคอยยืนหยัดเพื่อสาวๆ นักเบสบอลตั้งแต่ต้นจนจบด้วย เชื่อว่าคุณจะรัก “คุณไอรา” คนนี้แน่นอนครับ ก็ออกจะน่ารักขนาดนั้นน่ะ
อย่างที่บอกครับว่าหนังสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง เพราะในอเมริกาปี 1943 นั้นมีการตั้งลีคส์เบสบอลสำหรับผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ ชื่อลีคส์ก็คือ All-American Girls Professional Baseball League (AAGPBL) ก่อตั้งโดย Philip K. Wrigley ซึ่งเขาคนนี้ก็คือเจ้าของหมากฝรั่งยี่ห้อริกลี่ย์นั่นเองล่ะครับ ซึ่งการสร้างลีคส์เบสบอลหญิงในครั้งนั้นเขาก็ได้รับทั้งแรงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะสตรีเพศ) และได้รับแรงต้าน (จากผู้ชายและผู้หญิงหัวอนุรักษ์นิยม) แต่ในที่สุดลีคส์เบสบอลหญิงก็สามารถจัดต่อเนื่องได้ถึง 12 ปี (1943 – 1954) ก่อนจะยุติลงไปซึ่งก็มาจากหลายสาเหตุครับ ไม่ว่าจะเพราะเมื่อสงครามยุติแล้ว ผู้ชายก็กลับมาเล่นกีฬากันเหมือนเดิมและลีคส์ต่างๆ ที่ผู้ชายเล่นนั้นก็ได้รับความสนใจมากกว่า อีกทั้งคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงยืนกรานแนวคิดที่ว่า “ผู้หญิงไม่ควรเล่นกีฬาเบสบอล” ซึ่งพอดีจังหวะว่าในยุค 50 นั้นการชวนเชื่อและเรื่องชาตินิยม (แบบอนุรักษ์นิยม) กำลังมาแรง (เพื่อต้านกับกระแสคอมมิวนิสต์) จนทำให้ลีคส์นี้ต้องจบลงในที่สุด
สำหรับผมนั้นก็พูดได้เต็มปากครับว่าชื่นชมพวกเธอจริงๆ (ทั้งตัวละครในจอและนักกีฬานอกจอตัวจริง) เพราะพวกเธอมีความกล้าอย่างยิ่ง กล้าที่จะทำตามความฝัน กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะเดินออกนอกกรอบ ซึ่งการนอกกรอบนี้ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับใครครับ ซ้ำยังเป็นหลักไมล์ที่สวยงามว่าผู้หญิงทำอะไรได้อีกหลายอย่างไม่แพ้ผู้ชาย
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงทำบางสิ่งแบบที่ผู้ชายทำไม่ได้ (แบบเดียวกับที่ผู้ชายก็ทำบางอย่างที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เช่น การอุ้มท้องและให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ ที่แสนมหัศจรรย์ เป็นต้น) แต่ส่วนใหญ่แล้วนั้น “สิ่งที่คนคิดว่าผู้หญิงทำไม่ได้หรอก” มันเป็นเพียงการคิดบนฐานที่แคบเกินไปเท่านั้นเอง
และความคิดที่กว้างไกลย่อมยากจะงอกงามได้ บนฐานตั้งต้นที่คับแคบ… ว่าอย่างนั้นไหมครับ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วมันสนุกครับ นอกจากสนุกเพราะองค์ประกอบดีๆ ที่ผมเอ่ยไปแล้ว มันยังสนุกเพราะเราได้เห็นพวกนักเบสบอลหญิงพยายามเดินตามฝัน พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามลบคำสบประมาท จนหนังสามารถชนะใจคนดูได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านความสำเร็จของหนังก็ถือว่าสวยงามอยู่ครับ หนังทำเงินไปทั่วโลก $132 ล้านจากเงินลงทุน $40 ล้าน (ถ้าตีค่าเป็นเงินปัจจุบัน หนังจะทำเงินไปเกือบ $300 ล้านทีเดียวครับ) และตอนออกวีดีโอยังมียอดการเช่าสูงถึง $53 ล้าน นี่ยังไม่รวมยอดแบบขายอีกนะครับ
ล่าสุดในปี 2012 หอสมุดรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (Library of congress) ได้เลือกหนังเรื่องนี้ขึ้นทะเบียนเป็นภาพยนตร์แห่งชาติ (National Film Registry) เป็นที่เรียบร้อยครับ โดยยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และการกีฬา
ผมจำได้ว่าดูรอบแรกก็เป็นพากย์ไทยครับ ก็พากย์โดยทีมหลักของ CVD นั่นแหละ พากย์ออกมาได้รสและสนุกมาก ทุกวันนี้ก็ไม่รู้จะหาดูแบบนั้นได้จากที่ไหนอีก ได้แต่หาแบบซับมาดู แต่กระนั้นความดีของหนังก็ไม่ได้ลดทอนน้อยลงไปเลย