Suffragette (2015) หัวใจเธอสยบโลก
ถ้าจะบอกว่าเราชอบหนังเรื่อง Suffragette ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเอาตรงๆ เราว่าเราชอบเรื่องราวการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีของ “Suffragette” และการตีแผ่ความไม่เท่าเทียมทางเพศในยุคสมัยนั้นที่หนังหยิบจับมาเป็นประเด็นมากกว่าจะชอบที่ตัวหนังมันจริงๆ
ในความคิดของเรา Suffragette เป็นหนังที่มีวัตถุดิบที่ดีและทันกระแส (ปีนี้เป็นปีของหนัง Feminist) แล้วกลุ่ม Suffragette นี่ไม่ใช่กลุ่มพลังหญิงทั่วไป หากแต่เป็น feminist activist กลุ่มแรกๆ ของโลก มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ มีอิทธิพลต่อ gender equality ในยุคปัจจุบันทั่วโลก โดยเฉพาะสิทธิการเลือกตั้งที่เท่าเทียมกันทุกเพศ แถมเรื่องราวของพวกเธอนั้นก็ยังไม่ค่อยได้ถูกตีแผ่นำเสนออย่างจริงจังมาก่อน
‘If they want us to respect the law, they need to make the law respectable,’
สิ่งที่เราเสียดายคือ หนังไม่ได้มีพลังมากพอที่จะดึงคนดูอย่างเราให้เข้าไปอินเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังได้อย่างเต็มที่ และไม่สามารถจุดไฟพลังหญิงในตัวเราได้มากอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่ปกติตัวเราเองก็เป็นคนที่สนใจประเด็น Feminist
และอีกอย่างคือ ช่วงบทสรุปของหนัง หนังก็สรุปแต่ประเด็นการเมือง แล้วทิ้งประเด็นครอบครัวไปเลย ทั้งๆ ที่ตอนแรกปูพื้นเรื่องครอบครัวของนางเอกไว้ดีมาก แถมไอ้ประเด็นการเมืองช่วงท้ายที่ว่าพีค ก็ใช่ว่าจะพีคสนิทใจ – พูดง่ายๆ หนังมันยังขยี้ได้ไม่สุด
กล่าวคือ จู่ๆ หนังก็ให้ Emily Davison มีบทบาทสำคัญในช่วงท้าย ทั้งที่ก่อนหน้าแทบไม่ปู background หรือบ่งบอก motivation ของเธอให้คนดูบ้างเลย (แต่ตามประวัติศาสตร์จริง นางก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกระบวนการจริงๆ นั่นแหละ) หนังมัวแต่ให้ความสำคัญกับ background ของตัวเดินเรื่อง Maud Watts และ Violet Miller ทั้งที่ก็ไม่ได้เป็นกุญแจสำคัญของกระบวนการนัก แล้วสุดท้ายก็ไม่ตั้งใจสรุปปมของพวกนางให้เราเลย
แต่ยังดีที่ฉากสำคัญๆ ยังพอบีบหัวใจและเค้นน้ำตาเราได้อยู่ โดยเฉพาะซีนแม่ลูกผูกพัน กับซีนที่ผู้หญิงถูกผู้ชายทั้งนายจ้างและตำรวจทำร้ายประกอบกับหนังยังมี quote ที่นักแสดงนำหญิงในเรื่องพูดเด็ดๆ โดนใจอยู่หลายคำอยู่ ตราตรึงสุดๆ ถ้าเป็นไปได้ ดูไปนี่ก็อยากจะหยิบปากกาขึ้นมาจดตามไปด้วยเสียตอนนั้น
หัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้คือ นักแสดงนำ สาวๆ แต่ละคนฝีมือระดับ “ตัวแม่” แห่งวงการกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Carey Mulligan , Anne-Marie Duff , Helena Bonham Carter, และ Meryl Streep (คนหลังสุดนี่ขึ้นชื่อว่าตัวจริงก็เป็นเฟมินิสต์ตัวยงเลยทีเดียว)
โดยเฉพาะการแสดงของ Carey Mulligan กับ Anne-Marie Duff ในเรื่องนี้คือโดดเด่นมาก ทั้งสองนางเล่นดีมาก เชื่อว่าคงได้เข้าชิงหรืออาจได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงและสมทบหญิงยอดเยี่ยมสักเวทีแน่ๆ (ที่น่าจะเป็นไปได้สูงสุดน่าจะเวทีลูกโลกทองคำ)
อย่างไรก็ดี เราก็แอบเสียดายที่ Meryl Streep บทน้อยไปหน่อย ไม่ใช่อะไรนะ คือความรู้สึกเราเหมือนถูกโปสเตอร์หลอก เพราะโปสเตอร์นี่แปะหน้าเจ๊ Meryl Streep มาขายหรามาก แต่เอาเข้าจริงๆ นางออกมาจริงๆ แค่ประมาณ 5 นาทีได้ จบ
อ้อ สุดท้ายนี้ จะลืมชมพี่ Ben Whishaw ที่เล่นเป็นสามีนางเอกไปไม่ได้เลย รายนี้นี่ก็แสดงดีงามไม่แพ้ผู้หญิงทุกคนในเรื่อง ช่วงนี้เป็นช่วงปีทองของพี่ Ben Whishaw เขาเลยจริงๆ – หล่อไม่มาก แต่งานชุกมากกกกก~ (เพิ่งดูพี่แกใน Spectre กับ The Lobster ไปหยกๆ เดี๋ยววีคนี้ยังได้ดูอีกทั้ง Suffragette เรื่องนี้ กับ In the Heart of the Sea )
“I would rather be a rebel than a slave!”
นักแสดง Meryl Streep vs. Emmeline Pankhurst ตัวจริง
โดยสรุป ถึงแม้ภาพรวมของ Suffragette อาจจะไม่ใช่หนังดีเด่ระดับออสการ์ แต่การแสดงของเหล่านักแสดงนำนี่ไปออสการ์ (หรือเวทีใหญ่ๆ) ได้ไม่ยาก พวกนางเล่นดีจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง
อีกอย่าง เรื่องราวของกลุ่ม “Suffragette” ก็เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์สำคัญที่อยากให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงทั้งหลาย ได้มาสัมผัส จะได้รู้ว่า กว่าพวกเราจะได้มาซึ่งสิทธิความเท่าเทียมโดยเฉพาะสิทธิการเลือกตั้งอย่างทุกวันนี้นั้นไม่ง่าย ต้องมีสาวๆ ผู้เสียสละต่อสู้จนถูกจำคุกทรมานมาแล้วกี่พันคน และยังมีการเสียเลือดเสียเนื้อของสาวๆ ไปแล้วเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่