![](https://f.ptcdn.info/673/040/000/o3kkpzfu4cVMDjLUZYp-o.jpg)
คุณคิดว่า กิจกรรมรับน้องใหม่ มีความชอบธรรมไหม โดยเฉพาะเหตุผลเรื่องต้องการสานสัมพันธ์ระหว่างรุ่น คุณอาจเห็นด้วย และไม่ได้สงสัยในพิธีกรรม ที่ปฏิบัติกันแต่โบราณกาล ซึ่งบางอย่างก็เข้าท่า บางอย่างก็ท่าเหลว บางอย่างก็ท่าจะเจ็บตัว บางทีถึงขั้นลุอำนาจไปละเมิด สรีระ ก็มี แต่คุณก็ผ่านมันไปได้อย่างตะขิดตะขวงใจ จนกระทั่งคุณได้กลายมาเป็นรุ่นพี่ ที่ต้องสืบสานวัฒนธรรมพระเจ้าเหง๋า คุณจะปฏิเสธมันไหม ถ้าคิดว่ากิจกรรมนี้ไม่ได้มีไว้ใช้สานสัมพันธ์ตามข้ออ้างจริงๆ
![](https://www.mercurynews.com/wp-content/uploads/2016/08/20150722__prison23.jpg?w=620)
สิ่งที่มาควบคู่กับกิจกรรมรับน้องเสมือนจูงมือเจ้าสาวเข้าประตูวิวาห์ ก็คือ เราได้มารับรู้ โครงสร้างอำนาจระหว่างรุ่น ที่ชักใยให้เราอยู่ภายใต้มัน ประหนึ่งโดนทรายดูด ผ่านสถานะผู้เล่นอย่างรุ่นน้อง กับรุ่นพี่,รุ่นอาวุธโสหรือรุ่นผู้เฒ่า(ถ้ามี)เกาะกลุ่ม หมุนเวียน บทบาทพลัดกันใช้อำนาจมากบ้างน้อยบ้างตามลำดับประหนึ่งอำนาจตามยศฐานันดรของโบราณ จึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกประการใด ตอนเรายังเป็นรุ่นน้อง และตะขิดตะขวงใจยามเมื่อตัวเองไร้อำนาจ ขณะเดียวกันก็ยังไม่สะกิดใจสงสัย การลุอำนาจ อีกด้วย โดยหนัง The Stanford Prison Experiment เรื่องนี้ จะพาเราเข้าไปสู่วังวนแห่งอำนาจและโครงสร้างที่กำกับตามบทบาทสถานะ ประหนึ่ง ส่วนต่างๆของสรีระ โดยทิ้งความสงสัยไว้หลังความชอบธรรมบางอย่างของมัน
![](https://moodandtone.files.wordpress.com/2016/07/konnikova-the-stanford-prison-experiment-1200-630-09164554.jpg?w=700)
คือเรื่องราว การศึกษา ทดลอง ของศาสตราจารย์ Philip Zimbardo ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Stanford ที่ใช้ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน วิจัย เพื่อหาข้อสรุปสาเหตุความขัดแย้งระหว่าง ผู้คุมกับนักโทษ โดยคัดเลือกผู้ที่ผ่านเกณฑ์พิจารณา เข้าสวมบทบาทผู้คุมและนักโทษ ภายใต้สถานการณ์จำลองของจริง จนนำไปสู่สภาวะตึงเครียด เมื่ออาสาสมัครไม่คิดว่านี้คือ การจำลอง
![](https://m.media-amazon.com/images/M/MV5BMzRhZWZlMTYtMWQ1MC00OWUyLWJiYzQtMjg3YjEzNWRjOGNhXkEyXkFqcGdeQXVyNTg5MDAxMTY@._V1_.jpg)
หนังสร้างจากเหตุการณ์จริง การค้นคว้าทดลองทางจิตวิทยาช่วง ค.ศ.1971 ของศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Stanford ที่สนใจศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นถูกนำไปถ่ายทอดผ่านจินตนาการของนักเขียนชาวเยอรมันนาม Mario Giordano ในนวนิยายเรื่อง Black Box จนถูกอะแดปลงสู่แผ่นฟิล์มครั้งแรกผ่านเรื่อง Das Experiment(2008)และอีกครั้ง The Experiment(2010)จนกระทั่งเรื่องล่าสุด
![](https://i.pinimg.com/originals/2a/8b/aa/2a8baaab4a419b786c74a539319d357a.jpg)
โดยเนื้อหาหนังล่าสุดนี้ ไม่ได้อะแดปผ่านนวนิยายของนักเขียนชาวเยอรมันเลย แต่นำเอาคำบอกเล่า มูลเหตุเมื่อ ค.ศ.1971 มาถ่ายทอดลงสู่แผ่นฟิล์ม ซึ่งเน้นหนักไปในทางสร้างความรู้สึกเร้าอารมณ์ กดขี่ กดทับ ของคนดู ที่มีต่อการลุอำนาจของตัวละครฝ่ายผู้คุมและสภาพสภาวะจำยอมของนักโทษ เพื่อทำให้เราเห็นภาพ การใช้อำนาจเกินขอบเขต และผลักให้เนื้อหาเดินต่อไป เหมือนกับการเร้าอารมณ์คอทางการเมืองให้พุ่งปรี๊ด เมื่อพูดถึงเรื่องทักษิณ แล้วทุกอย่างก็ตามมาเป็นขบวน
![](https://m.media-amazon.com/images/M/MV5BZDcxMDE5MDAtYjhiMS00NTMyLWFlZjctNGYxMjBhMDgyZWI1XkEyXkFqcGdeQXVyNjgwMzUzMjM@._V1_.jpg)
ปัญหาหลักๆ คือ หนังพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร คือ จากคนปกติภายใต้สถานการณ์จำลอง ไปสู่สภาวะเปลี่ยนแปลงของตัวละคร แทบไม่ต่างจากสภาวะถูกทรายดูดเข้าสู่ ระบบรับน้อง ซึ่งหนังสวมบทบาทให้ตัวละครต่างเป็นผู้มีอำนาจกับไร้อำนาจ โดยทำให้เราเห็นปมปัญหาเมื่อตัวละครไม่คิดว่านี้คือสถานการณ์จำลองอีกต่อไป
![](https://www.cinemaclock.com/images/580x326/30/stanford_prison_experiment__2015_9754.jpg)
และโยนระเบิดมือ เชิงสรุปใน ปม ผ่านมุมของตัวละคร ที่ได้พูดคุยถกเถียงกัน ตอกกลับความรู้สึกคนดูประหนึ่งสลักมือถูกปล๊ดล๊อค ตูมตามจิตใจ ที่ชิงชังในสถานการณ์ลุอำนาจ และการปล่อยให้เขาลำพองใจในอำนาจ เหมือนดั่งรุ่นพี่ไปละเมิดร่างกายรุ่นน้อง ขณะเดียวรุ่นน้องก็ไม่ท้วงติงปล่อยให้เขาลำพองใจ นั้นเอง ส่วนความยอดเยี่ยมขององค์ประกอบหนังอื่นๆแทบไม่ต้องพูดถึง
แหละนี้คือการป๊อก ป๊อกหนัง The Stanford Prison Experiment เรื่องนี้