อิงะแห่งสุบะกากุเระ และ โคงะแห่งมันจิดานิ คือ 2 ตระกูลนินจาระดับยอดฝีมือที่เป็นศัตรูต่อกันมาช้านาน
แต่เพื่อความสงบสุข ท่านฮัตโตริ ฮันโซรุ่นที่ 1 ได้ทำสนธิสัญญาเพื่อให้ 2 ตระกูลนินจายุติสงครามที่มีต่อกัน ซึ่งการยุติสงครามก็ดำเนินมา 400 ปี และในเวลานี้ โอโบโระ (Yukie Nakama) ทายาทสาวแห่งอิงะ กับ เก็นโนซึเกะ (Jô Odagiri) ทายาทหนุ่มแห่งโคงะได้มาพบกันและรักกันอย่างลับๆ เพราะแม้สัญญาสติยังอยู่ แต่นินจาทั้ง 2 ตระกูลก็ยังไม่ถูกกันอยู่เช่นเคย
แล้วในที่สุดท่านโชกุนก็เกิดกังวลว่าหากหนึ่งในสองตระกูลคิดไปรับใช้คนผิดที่หมายทำลายประเทศชาติ มันก็อาจทำให้บัลลังก์และแผ่นดินต้องตกอยู่ในอันตราย จึงทรงมีรับสั่งให้ 2 ตระกูลต้องมาห่ำหั่นกัน มีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ แล้วเช่นนี้ความรักระหว่างเก็นโนซึเกะกับโอโบโระจะลงเอยเช่นไร และตระกูลนินจาใดที่จะเป็นฝ่ายกำชัยชนะ
ในด้านฉากแอ็กชันก็คงบอกได้ว่าหนังมีลีลาการต่อสู้ที่น่าสนใจครับ เพราะไม่ใช่การต่อยตีกันธรรมดา แต่เป็นการเอาวิชานินจามาประลองกัน เอาชั้นเชิงมาสัประยุทธ์กัน ซัดอาวุธลับประจำตัวใส่กัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นสีสันที่ทำให้หนังดูสนุกขึ้น มีลูกเล่นหลากหลายชวนให้จดจำได้มากขึ้น
ครับ ฉากการปะทะต่อสู้นั้นจัดว่าทำได้ดีและน่าตื่นเต้น แต่กระนั้นระหว่างการชม 2 ตระกูลนินจามาต่อสู้กัน ผมกลับไม่ได้รู้สึกดีกับภาพที่เห็นเลยครับ แม้จะสู้กันน่าสนใจแค่ไหน ปะทะกันจนก่อให้เกิดภาพสวยงามปานใด แต่ในด้านหนึ่งที่ผมรู้สึกก็คือ “สงสารและเห็นใจ” เหล่านินจาในเรื่องเหลือเกิน
ระหว่างการรับชมนั้น ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าในแผ่นดินญี่ปุ่นนั้น มีแนวคิดปรัชญาที่น่าสนใจหลายอย่างครับ หนึ่งในนั้นคือแนวคิดที่ปลดปล่อยให้คนมีเสรี เข้าใจในธรรมชาติ และรู้จักสังเกตให้เห็นถึงสายใยแห่งความเกื้อหนุนที่เชื่อมโยงแต่ละชีวิตเข้าด้วยกัน อย่างที่เราเห็นในซีรี่ส์หรือหนังญี่ปุ่นสัญชาติอเมริกาอย่าง The Last Samurai, The Karate Kid (ต้นฉบับ)
แต่ในอีกด้าน มันก็ยังมีแนวคิดที่ดึงรั้งให้คนติดอยู่ในกรอบ ตรึงคนให้ยอมหักไม่ยอมงอ ยอมยกไม่ยอมวาง ยึดมั่นในบุญคุณความแค้น (ไม่ต่างจากหนังจีนกำลังภายใน) และพอดีว่าในหนังเรื่อง Shinobi นี้ แนวคิดส่วนมากจะเป็นอย่างหลังมากกว่าครับ อย่างการการยึดมั่นในศักดิ์ศรีแห่งชิโนบิ คิดว่าการต่อสู้คือชีวิต และหากไม่มีศัตรู ไม่มีการต่อสู้ก็เท่ากับตนนั้นไร้ค่า ซึ่งก็เข้าใจได้ครับว่าเมื่อคนเราโตมาในโลกแห่งการเข่นฆ่า งานเดียวที่มีคือการสังหารอริศัตรู และการอยู่อย่างสงบก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้เกียรติแทน
กล่าวคือนี่เป็นอีกหนึ่งหนังที่แสดงให้เราเห็นถึงโลกอีกมิติหนึ่ง… มิติที่การมีเกียรติขัดแย้งกับความสงบสุข และเพราะการคิดแบบนี้นี่เองที่ทำให้เหล่านินจา 2 ตระกูลต้องเพลี่ยงพล้ำ และพบเจอกับภัยหายนะครั้งยิ่งใหญ่
ในมุมหนึ่งก็พอเข้าใจความกลัวของท่านโชกุนล่ะครับ หากไม่กำจัดเหล่านักรบที่มีอำนาจเวทย์มนต์ให้หมดสิ้น ไม่ปราบชนเผ่าที่ยังเห็นการเข่นฆ่าเป็นเรื่องมีการเกียรติเช่นนี้ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะนำความสงบสุขหรือหายนะมาสู่แผ่นดินกันแน่… ความสงบสุขจะเกิดขึ้นจริงๆ ได้อย่างไรหากการหักหาญทำลายกันคือทางเลือกที่ชนเผ่าเหล่านี้ยังนับถือบูชา
เข้าใจ เห็นใจ และหนักใจจริงๆ
ตอนแรกนึกว่าจะเป็นแค่หนังโรมิโอแอนด์จูเลียตเวอร์ชั่นนินจา แต่ดูไปดูมา มีอะไรเยอะอยู่เหมือนกัน
โดยรวมหนังถือว่าทำได้ดีครับ แต่เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังนินจาที่ไม่ได้หนักแอ็กชั่นอย่างเดียว แต่มีแง่มุมให้คิดตาม ในขณะที่ถ้าถามด้านความสนุกก็คงบอกได้ว่าสนุกในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น
และเพลงจบอย่าง Heaven ก็ไพเราะตามเคย… หนังญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีไฮไลท์ที่ End Credits นี่แหละครับ เพลงมันเพราะน่ะ
สรุปว่าหนังเรื่องนี้มีดีควรดู