Extinction 2015
ผลงานหนังเรื่องล่าสุดที่จัดจำหน่ายทางสตรีมมิ่งชื่อดังของโลกอย่าง Netflix ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของปีเตอร์ (ไมเคิล พีน่า) วิศวกรประจำโรงงาน ที่ฝันร้ายซ้ำซาก ถึงมนุษย์ต่างดาวที่บุกจู่โจมโลกมนุษย์และคร่าชีวิตอย่างเลือดเย็น ฝันร้ายของปีเตอร์เริ่มดำเนินต่อไปเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวเริ่มสร้างผลกระทบให้กับงานของปีเตอร์ ทำให้ภรรยาของเขาอย่างอลิซ (ลิซซี่ แคปแลน) แนะนำให้เขาเดินทางไปยังคลินิกเพื่อทำการบำบัดอาการดังกล่าว เขาได้พบกับคริส (ทอม ไรลีย์) ผู้พยายามเกลี้ยกล่อมว่าอย่าเข้าไปทำการบัด แต่ให้เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง ปีเตอร์จึงเดินทางกลับบ้านโดยไม่เข้ารับการรักษา
หลายวันต่อมาที่อพาร์ตเมนต์ของปีเตอร์ อลิซได้จัดงานเลี้ยงฉลองการเลื่อนขั้นในตำแหน่งของเธอ แต่ปีเตอร์กลับมีอาการใจลอยและไม่สนใจแขกที่มาร่วมงาน เขามัวแต่หมกมุ่นกับการส่องกล้องดูดาว หวาดระแวงว่าจะมีแสงประหลาดสาดลงมาจากฟากฟ้า ไม่นานนักฝันร้ายที่ปีเตอร์ถูกหลอกหลอนมาพักใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นจริง เมื่อท้องฟ้ากิดสว่างจ้าและยานประหลาดก็ได้บุกถล่มตึกอพาร์ตเมนต์จนราบคาบ ก่อนที่จะมีเอเลี่ยนบุกเข้ามาไล่สังหารคนในตึกอย่างเลือดเย็น
Extinction ในช่วงแรกของเรื่องจัดเป็นหนังที่ตัวละครเห็นภาพนิมิตของเหตุการณ์ในอนาคต สลับกับอาการหวาดระแวงของตัวละคร ซึ่งน่าเสียดายตรงที่ช่วงครึ่งแรกของหนังจัดได้ว่ายืดยาดน่าเบื่อ จนกระทั่งเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวบุกโลกเริ่มสร้างความน่าตื่นเต้นให้ได้สักหน่อย หนังก็เริ่มกระโจนเข้าสู่หุบเหวของความน่ารำคาญ เมื่อตัวละครลูกๆของปีเจอร์ไม่ว่าจะเป็นฮาน่าหรือลูซี่ ที่มักจะกรีดร้องแหกปากอย่างไร้สติ ยามที่พ่อแม่ของเธอบอกให้รออยู่ในสถานที่ปลอดภัย น้องคนเล็กก็มักจะขัดคำสั่งเหล่านั้นและนำเหตุการณ์อันตรายมาให้พ่อแม่พวกเขาต้องรับมืออยู่ตลอดเวลา จากความรู้สึกที่เราอยากจะเอาอกเอาใจช่วยพวกเขา เลยกลายเป็นความละเหี่ยใจเหลือทนว่า เมื่อไหร่เด็กสองคนนี้จะรู้ภาษา หรือว่าปีเตอร์และอลิซเลี้ยงลูกๆของพวกเขาอย่างตามใจจนเกินไป ทำให้เด็กๆแสดงอาการไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวแบบนั้นออกมาตลอดเวลา
ย่อหน้าต่อไปมีการเปิดเผยจุดพลิกผันของเรื่องราว หากยังไม่ได้รับชมกรุณาข้ามไป
เราขอเตือนคุณด้วยความปรารถนาดี
ปรากฏว่าจริงๆมนุษย์ต่างดาวที่บุกเข้ามาในตึกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นมนุษย์ และบรรดาตัวละครเอกในเรื่องเป็นหุ่นแอนดรอยด์! และความนิมิตฝันร้ายที่เกิดขึ้นกับปีเตอร์นั้น แท้ที่จริงแล้วคือเหตุการณ์ในอดีตที่หลงเหลือในความทรงจำของเขา จุดพลิกผันเหล่านี้ ควรจะสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู แต่เปล่าเลย เรากลับยิ่งรู้สึกว่าการที่หนังพยายามจะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และหุ่นแอนดรอยด์ โดยที่แทบจะไม่ได้ผูกพันกับตัวละคร เรายิ่งไม่อยากจะเอาใจช่วยให้พวกเขารอดชีวิตอย่างปลอดภัย และแน่นอนว่าพฤติกรรมงี่เง่าของเด็กๆก็ได้รับคำอธิบายอีกเช่นกันว่าเพราะพวกเธอก็เป็นหุ่นแอนดรอยด์เช่นเดียวกัน (บางทีการงองแงงี่เง่าอาจจะถูกโปรแกรมเอาไว้ตั้งแต่แรก!)
สิ่งที่หนังพยายามหักมุมนั้น ยิ่งทำให้เรากลับรู้สึกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง ฝ่ายมนุษย์ดูเล่นใหญ่เกินเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ยานอวกาศรูปทรงประหลาด ใส่ชุดมนุษย์ต่างดาว ใช้วิธีโจมตีพวกหุ่นแอนดรอยด์แบบโบราณยิงปืน โยนระเบิด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้กลับทำให้เรารู้สึกว่า บทหนังเขียนมาเพื่อหลอกคนดูให้ไขว้เขวเพียงอย่างเดียว แต่กลับดูไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิงที่จะทำให้เราเชื่อว่า สงครามระหว่างมนุษย์และแอนดรอยด์นั้นเกิดขึ้นมาหลายครั้งเพียงเพราะมนุษย์กลัวว่าสิ่งสังเคราะห์ที่มนุษย์สร้างขึ้นจะครองโลกเลยต้องตามไล่สังหารแอนดรอยด์ให้สิ้นซาก
น่าเสียดายที่หนังพยายามจะขยายจักรวาลการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับแอนดรอยด์ แต่ Extinction ก็จัดเป็นหนังฟอร์มใหญ่ของ Netflix (ที่ซื้อลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายมาจากยูนิเวอร์แซลสตูดิโออีกที) ที่น่าผิดหวังต่อจาก How It Ends ไปติดๆ