มีคนรีเควสท์ให้รีวิวนะครับ ก็เลยจัดให้สักหน่อย กับหนึ่งในการ์ตูนเก่าที่มีดี ขนาดที่มาดูซ้ำแต่ก็ยังได้ความรู้สึกดีๆ กลับไปไม่แพ้การ์ตูนใหม่ๆ เลยล่ะครับ (… โดยส่วนตัว ผมว่าให้ความรู้สึกดีกว่าการ์ตูนใหม่ๆ บางเรื่องด้วยนะ)
การ์ตูนเรื่องนี้ก็เก่าแล้วนะครับ แต่กระผมก็ยังจำได้ เพราะอ้อนพ่อแม่ไปดูในโรงเลยทีเดียว เหตุผลสำคัญก็เพราะสมัยฉายโรงนั้น หนังพากย์โดยน้าต๋อย เซมเบ้น่ะครับ เป็นจุดขายสำคัญเลยก็ว่าได้ เรียกคนดูเด็กๆ ไปได้เยอะทีเดียว ครั้นพอออกวีดีโอ ผมก็ไปควานหามานะครับ ปรากฏว่าทีมพากษ์ไม่ใช่น้าต๋อยซะแล้ว ก็เสียดายนิดๆ เหมือนกัน นึกว่าจะเก็บไว้เป็นความทรงจำซะหน่อย
เนื้อเรื่องก็ว่าด้วยการผจญภัยของเหล่าไดโนเสาร์น้อย 5 ตัวครับ ประกอบไปด้วย ลิตเติ้ลฟุต เจ้าตัวร้อยพันธุ์คอยาว, เซร่า (พันธุ์สามเขา ไทรเซราท็อป), ดั๊กกี้ (พาราซอโรโลฟัส พันธุ์มีหงอนน่ะครับ), เพทรี่ (เทอราโนดอน พันธุ์มีปีก) และ สไปค์ (สเตโกซอรัส) ที่พลัดพรากจากพ่อแม่ไป ระหว่างการอพยพย้ายถิ่นฐาน พวกเขาก็เลยต้องหาทางตามรอยพ่อแม่และญาติๆ ให้พบเจอ
แน่นอนล่ะครับว่าการเดินทางมันไม่ง่ายหรอก พวกเขาต้องเจออุปสรรคสารพัด ตั้งแต่ภัยธรรมชาติไปจนถึงไอ้เขี้ยวยาวตัวร้ายพันธุ์ไทแรนโนซอรัสที่ตามจองล้างจองผลาญพวกเขาแบบไม่ลดละ และนอกจากภัยภายนอกแล้ว พวกเขาก็ยังมีความขัดแย้งต่อกัน แตกสามัคคีกันอยู่บ่อยๆ อีกด้วย ก็ต้องเอาใจช่วยกันล่ะนะครับ ว่าพวกเขาจะผ่านทุกอุปสรรคไปสำเร็จหรือไม่
พล็อตง่ายดีนะครับ ไม่ซับซ้อน แต่สนุกอ้ะ ดูได้เรื่อยๆ เพลินไปกับการผจญภัย แล้วก็พล็อตที่แทรกเข้ามา ไม่ว่าจะการลุ้นระทึกให้พวกเขารอดพ้นจากภัย และการเรียนรู้ที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ครบทั้งสาระดีๆ และความสนุกครับ
มานั่งนึกและดูอีกทีตอนโต ก็รู้สึกว่าหนังมันสอนเด็กๆ กำลังเหมาะเลยนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องสามัคคี เรื่องความกล้าหาญ การใช้ไหวพริบปฏิภาณ ตัวผมเองนั้นชอบสาระที่การ์ตูนสื่อเกี่ยวกับตัวเซร่า ที่สอนเด็กได้อย่างดีทีเดียวในเรื่องการเอาแต่ใจน่ะครับ ขณะเดียวกันก็สอนพ่อแม่ด้วยว่า การเลี้ยงดูลูกให้มีความมั่นใจนั้นเป็นสิ่งดี แต่หากสอนลูกให้หยิ่งเกินไป ดูถูกคนอื่น มันจะส่งผลเสียในระยะยาวได้ ที่แน่ๆ คือมันดูไม่น่ารักเลยล่ะครับ แล้วต่อไปภายหน้าเมื่อต้องทำงาน ร่วมกันกับคนอื่น คนที่หยิ่งและไม่มีมนุษยสัมพันธ์ย่อมประสบความลำบากอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ
การ์ตูนพวกนี้ อาจดูเด็กๆ นะครับ แต่มันสอนสิ่งดีๆ มีสาระบนความสนุก… ไม่รู้สิครับ ผมว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของการ์ตูนสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องเทคนิค ไม่ใช่ความคมของเส้น ไม่ใช่มุขตลกหรืออะไร แต่มันอยู่ที่ความน่ารัก สาระดีๆ ที่พูดได้เต็มปากว่าพ่อแม่อุ่นใจและสอนลูกได้ด้วยการให้ดูการ์ตูน
ส่วนทีมงานที่ทำการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ Don Bluth ผู้อยู่เบื้องหลังการ์ตูนอย่าง The Secret of NIMH, An American Tail แล้วก็ Anastasia ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งล่ะครับ ที่อาจหาญทำการ์ตูนออกมาแข่งตีคู่กับค่าย Walt Disney ในยุคหนึ่ง แล้วก็สู้ได้ไม่เลวซะด้วยครับ
การ์ตูนของเขานั้นมีเอกลักษณ์ สนุกในอีกแนวทางหนึ่ง ในขณะที่ Disney จะออกแนวสุขแบบเทพนิยาย จนบางครั้งก็เพ้อฝันไปบ้าง แต่ของ Bluth นั้นจะออกสไตล์จริงจังนิดๆ (อย่างในเรื่องนี้ ที่มีประเด็นเกี่ยวกับความตายและการสูญเสีย) ซึ่งมันก็กระเดียดไปทางญี่ปุ่นหน่อยๆ จึงถือว่าเขาได้สร้างการ์ตูนทางเลือกสำหรับผู้ชมเช่นกัน และก็มีคนนิยมการ์ตูนสไตล์ของ Bluth ไม่น้อยด้วยล่ะครับ จนถึงขั้นทำรายได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับการ์ตูนของ Disney ได้เลยล่ะ
ต้องบอกว่าการแข่งครั้งนี้นี่เป็นผลดีต่อผู้ชมล่ะครับ เพราะทำให้ Disney ต้องทำการพัฒนาตนเอง ปรับตนเองครั้งใหญ่ จนทำให้เกิดการ์ตูน Disney Classic ยุคใหม่อย่าง The Little Mermaid ขึ้นมา ก็เพื่อพลิกลำกลับมาครองตำแหน่งเจ้าแห่งการ์ตูนต่อไป (ซึ่ง Disney ก็ทำสำเร็จจริงๆ น่ะแหละ) ดังนั้นถ้าจะบอกว่า Bluth มีส่วนทำให้การ์ตูนยุค 90 ของ Disney ออกมาเด็ดขาดมากๆ ก็คงไม่ผิดอะไร แม้จะเป็นแบบอ้อมๆ ก็เถอะ
ผู้อยู่เบื้องหลังอีกสองหน่อที่ทำให้ผู้ชมสนใจจะดูการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ Steven Spielberg และ George Lucas นั่นเองครับ ต้องยอมรับเหมือนกันว่าแค่ชื่อสองคนนี้ สมัยก่อนน่ะผู้ชมก็สนใจใคร่ดูแล้ว
The Land Before Time ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจครับ ลงทุนไป $12.3 ล้าน แล้วก็ทำเงินไปทั่วโลกราว $84.4 ล้าน นี่ยังไม่รวมรายได้ตอนออกเป็นวีดีโออีกนะครับ เรียกว่าดังในระดับหนึ่ง แล้วยังมีภาคต่อออกมาอีก 12 ภาค แต่เป็นภาคต่อแบบจับลงวีดีโอไปเลยน่ะนะครับ ซึ่งภาคต่อทั้งหลายนั้น ทั้ง Bluth และ Spielberg กับ Lucas ไม่ได้มีส่วนร่วมเหมือนภาคแรก ดังนั้นในเรื่องความเยี่ยมจึงบอกได้เลยว่า ภาคแรกน่ะเด็ดสุดครับ
… ตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ทราบไหมครับ… ผมย่องไปที่ Youtube แล้วก็หาเพลง If We Hold On Together เปิดฟังอยู่… ใช่ครับ เพลงประกอบของการ์ตูนเรื่องนี้นี่เอง ร้องโดย Diana Ross ซึ่งโคตรจะเพราะน่ะครับท่านทั้งหลาย ความหมายดีเข้ากับหนังมากๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องยกนิ้วให้กับการ์ตูนของ Bluth แทบทุกเรื่องก็คือ มีเพลงประกอบดีมากๆ อย่างในเรื่อง An American Tail ก็มาพร้อมเพลง Somewhere Out There ที่ไพเราะระดับเทพจริงๆ
นั่งรีวิวก็นั่งนึกถึงสมัยเด็กๆ ครับ… เรามีความสุขจังแฮะกับการ์ตูนพวกนี้ มันน่ารัก สนุก ดูแล้วรู้สึกอยากเป็นพระเอกที่ทำสิ่งดีๆ เสมอ และทำให้เรามีความมุ่งมั่นทำตามความฝัน ทำให้เรารู้สึกดีกับมิตรภาพ… มีความสุขจริงๆ
นี่แหละครับ การ์ตูนง่ายๆ แต่อบอุ่น ดูไดโนเสาร์ตัวจิ๋วเดินไปเรื่อยๆ ร่วมมือกันฟันฝ่าอุปสรรค เรียนรู้ที่จะโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น เผชิญหน้ากับความสูญเสีย และยืนหยัดเดินต่อไปสู่เป้าหมายในอนาคต… ผมลองนึกย้อนไปว่าตอนดูสมัยเด็กๆ นั้นรู้สึกอย่างไร… มันอิ่มครับ… อิ่มพอดี แค่นี้ก็หลับสบายแล้วล่ะ
ก็แนะนำนะครับ พ่อแม่ทั้งหลาย เอาเรื่องนี้ให้คุณหนูๆ ดูได้ สบาย ไม่ต้องกังวลเพราะพิษภัยมันแทบไม่มี หรือผู้ใหญ่จริงๆ ก็ดูได้นะ มันมีสาระดีๆ สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ เหมือนกัน บางสาระเราอาจทราบแล้ว แต่บางสาระเราก็ลืมไปแล้ว… มาปลุกวันชื่นคืนสุขในวัยเยาว์ด้วยการ์ตูนดีๆ สักเรื่องก็ไม่เลวนะครับ
แล้วคุณอาจพบว่า เทคนิคด้านภาพไม่สำคัญ (ไม่ต้องภาพคมก็ดูสนุกได้) ความเก่าใหม่ของเรื่องราวก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกดีๆ มันไม่เก่าไปตามกาลเวลาหรอกครับ…
อย่างที่แม่ของลิ้ตเติ้ลฟุตว่าไว้น่ะแหละ “บางสิ่งเราเห็นได้ด้วยตา แต่บางอย่างเราก็สัมผัสได้ด้วยใจ”
การ์ตูนเรื่องนี้ (และการ์ตูนเก่าๆ อีกหลายเรื่อง) มีอะไรบางอย่างรอให้เราใช้ใจสัมผัสอยู่… บางอย่างที่หาไม่ได้ ในการ์ตูนสมัยใหม่
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าการ์ตูนสมัยใหม่ หรือหนังใหม่ๆ มันขาดอะไรไป… ขอให้ลองหาคำตอบว่ามันขาดอะไรด้วยการลองแวะมาดูหนังเก่าๆ สิครับ คุณอาจพบเพื่อนเก่าทางความรู้สึกที่ห่างหายกันไปนานก็ได้… เชื่อเถอะครับ ถ้าคุณได้พบเจอเพื่อนเก่าที่ว่า คงมีอะไรให้คุยกัน (ในใจ) เยอะทีเดียว