หนังเรื่องนี้เล็กๆ ง่ายๆ ดูแล้วอิ่มอกอิ่มใจ แต่ไม่อิ่มท้องครับ และในทางกลับกันมันทำให้เราเกิดหิวไปในเวลาเดียวกัน
หลังจาก Jon Favreau ทำ Cowboys & Aliens แล้วไม่เวิร์ก (ลงทุน $163 ล้าน แต่ได้คืนมาแค่ $173 ล้านจากทั่วโลก) พี่แกก็หยุดทำหนังใหญ่ไปเกือบ 3 ปีครับ ก่อนจะกลับมาเขียนบทหนังเล็กๆ เรื่องนี้ขึ้นมา พร้อมทั้งควบเก้าอี้กำกับและนำแสดงไปด้วย
หนังถือว่าไปได้สวยครับ ในแง่คำชมก็ถือว่าได้ไปเยอะพอตัว ในแง่รายได้ก็หายห่วง เพราะลงทุนแค่ $11 ล้าน แต่ได้คืนมา $45 ล้าน นี่ยังไม่รวมรายได้ตอนออกแผ่นอีกนะครับ เรียกว่าคืนฟอร์มได้ดี และถือเป็นการกรุยทางให้พี่แกกลับมาเกิดเต็มตัวอีกหนใน The Jungle Book ที่มหาชนกำลังปลื้มอยู่ตอนนี้
สำหรับ Chef ถือว่าพล็อตง่ายๆ ครับ เมื่อพ่อครัวนามว่าคาร์ล แคสเปอร์ (Favreau) ซึ่งจริงๆ ก็มีหน้าที่การงานดีอยู่ล่ะครับ แต่พี่แกก็ค่อนข้างติสท์และเชื่อมั่นในตัวเองสูง ขณะเดียวกันการทำงานในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงก็ทำให้พี่แกไม่ได้มีอิสระในการทำงานสักเท่าไร แล้วในที่สุดพี่แกก็ไปมีเรื่องกับนักวิจารณ์อาหารเข้า
ทีนี้งานที่ดูรุ่งๆ ของเขาก็เลยดิ่งลงเหวครับ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่อที่ดีนัก แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้มีแต่ด้านร้ายครับ เพราะนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คาร์ลได้กลับมาทบทวนตนเอง ไม่ว่าจะในเรื่องชีวิต การงาน ครอบครัว
และที่สำคัญคือได้กลับมาค้นหาว่าอะไรคือ “ความสุขอันแท้จริง” ในบทบาทการเป็นเชฟนักปรุงของเขา
ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่เป็นส่วนตัวมากๆ สำหรับ Favreau ครับ ลึกๆ ผมว่ามันอิงจากชีวิตเขานั่นเองครับ อิงจากอะไรก็ตามที่เขาเผชิญในตอนนั้น ตั้งแต่เขาดังในฐานะคนทำ Iron Man ภาคแรก ได้ทั้งเงิน ชื่อเสียง และคำชมแบบกระบุงโกย
แล้วในเวลาต่อมาเขาโดนคนเริ่มสับตอนทำ Iron Man 2 และโดนหนักมากขึ้นใน Cowboys & Aliens จนพี่แกเป๋ไปพักใหญ่เลยครับ และที่โดนวิจารณ์มากคือพี่แกทำหนังแบบเดิมๆ ทำตามสูตร ไม่มีอะไรใหม่ ไร้แรงบันดาลใจ ทำตามใบสั่ง (ซึ่งก็มีคนสั่งแกจริงๆ นั่นแหละ) ฯลฯ ซึ่งมันช่างละม้ายคล้ายกับอะไรที่คาร์ลโดนนักวิจารณ์อาหารวิจารณ์ใส่ซะจริงๆ
และคงเป็นเพราะแบบนั้นน่ะครับ Favreau เลยทำหนังเรื่องนี้ได้แบบเข้าถึง คือถ้าให้ว่าตามจริงหนังอาจไม่ได้สมบูรณ์เต็มพิกัดหรือยอดมากเป็นล้นพ้น แต่มันเป็นหนังที่ Touch ใจคนดูได้แบบพอเหมาะ หนังค่อยๆ ทำให้เรารู้จักกับคาร์ลในหลายด้าน
เราได้เห็นความเป็นเชฟที่เก่งพอๆ กับได้เห็นถึงอัตตาที่อัดแน่นอยู่ในตัว (ทั้งอัตตาดั้งเดิมและอัตตาที่พอกพูนหลังชื่อเสียงความดังไหลมาเทมา) ก่อนหนังจะค่อยๆ พาเราตามไปดูการตัดสินใจของคาร์ลที่จะเลือกออกมาเร่ขายอาหารด้วยรถแบบบ้านๆ ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย และยังเป็นการฟื้นคืนอะไรหลายๆ อย่างในตัว (ความเรียบง่าย, ศรัทธา, ความสุข ฯลฯ)
บอกได้เลยครับว่าผมชอบหนังเรื่องนี้เอามากๆ มันดูเพลิน มีความสุขระหว่างดู และแฮ้ปปี้ที่จะเอามาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก สำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนฟองน้ำที่ชี้ชวนให้เราลองขัดถูใจของเราแบบนุ่มๆ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนก็ต้องเจออะไรแบบคาร์ลน่ะครับ
เจอวันที่เหนื่อย เจอวันที่เราหลงตัวเองมากเกินไป เจอวันเราไม่รู้อีกแล้วว่าแท้จริงเราคือใคร เจอวันที่เราสับสนระหว่างความสุขกับความอยาก
… สับสนระหว่างสิ่งที่อยากจะเป็นกับสิ่งที่เราเหมาะจะเป็น (เพราะบางทีแค่เป็นสิ่งที่เราควรเป็น สิ่งที่เราเหมาะสมจะเป็นได้ เราก็โอเคแล้วครับ ไม่ต้องไปให้มันไกลกว่านั้นก็ได้)
เป็นหนังที่พูดได้เต็มปากว่า “สุขยามได้ดู” ครับ ดาราเล่นกันดี นอกจาก Favreau แล้วดาราสมทบก็ถือว่าคุ้นหน้า ไม่ว่าจะ John Leguizamo, Bobby Cannavale, Scarlett Johansson, Dustin Hoffman, Sofía Vergara, Oliver Platt และ Robert Downey Jr. ซึ่งจะว่าไปแล้วแต่ละคนก็อาจจะไม่เด่นอะไรมากนะครับ แต่ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะหนังมาในแนวเรียบง่าย ปรุงน้อย อร่อยบ้านๆ เลยไม่แปลกหากดาราจะไม่จัดจ้านเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ
และที่ลืมไม่ได้คือ Emjay Anthony ในบทเจ้าหนูลูกของคาร์ลครับ ถือว่าแสดงได้พอเหมาะเลยล่ะ ดูเป็นเด็กฉลาด และร่วมแจมเล่นกับดารารุ่นใหญ่ในหนังได้อย่างดี
อีกอย่างครับ ภาพอาหารน่ากินมาก ดูแล้วไม่หิวก็ต้องหิว 555
สรุปว่าหนังเรื่องนี้ ผม Highly Recommended เป็นการส่วนตัวเลยครับ