The Terminator 1 คนเหล็ก 2029 ภาค 1 (1984)
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็ก ผมจำไม่ได้ว่าได้ดู The Terminator หรือ “ฅนเหล็ก 2029” ครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่จำได้ว่ายังเด็กมาก มันเป็นตอนกลางคืนซึ่งได้เวลานอนของผม ผมนอนอยู่หน้าจอทีวี ในขณะที่พ่อกับแม่กำลังดูหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ผมจำได้คือ… หนังเรื่องนี้แม่งโคตรสยอง!!
คือเด็กเนี่ย ต้องชอบหุ่นยนต์เป็นของปกติอยู่แล้ว แต่ไอ้ฉากที่อาโนลด์ควักตาตัวเองหน้ากระจกจนเห็นตาสีแดงงี้ ฉากอาโนลด์กลายเป็นโครงกระดูกหุ่นยักษ์วิ่งไล่นางเอกงี้ แต่ละอย่างเล่นเอาเด็กชายผู้ใสซื่อต้องฝันร้ายเลยทีเดียว!! กรี๊ดดด น่ากลัว!!
แต่หลังจากที่เติบใหญ่จนมีภูมิคุ้มกันมาอย่างเพียบพร้อม กลายเป็นว่า The Terminator ของปี 1984 นี่ กลับเป็นหนึ่งในหนังไซไฟคลาสสิคในดวงใจไปแล้ว
The Terminator หรือ “ฅนเหล็ก 2029” เป็นเรื่องของหญิงสาวชื่อซาราห์ คอนเนอร์ ต้องถูกหุ่นสังหารจากอนาคตปี 2029 ไล่ล่าเพราะในอนาคต เธอจะเป็นผู้ให้กำเนิดจอห์น คอนเนอร์ นายทหารผู้จะพามนุษย์ไปสู่ชัยชนะเหนือเครื่องจักร ดังนั้นทางเครื่องจักรจึงคิดจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการส่งหุ่นสังหารมา “คุมกำเนิด” ซะให้สิ้นซาก ทว่าฝ่ายจอห์น คอนเนอร์ก็ได้ส่งทหารกล้ามาช่วยปกป้องซาราห์ เขาคือไคล์ รีส มันจึงเป็นการแข่งกันด้านเวลาว่าใครจะเข้าถึงตัวซาราห์ได้ก่อนกัน!
ไคล์ รีส (ไมเคิล บีห์น) เข้าปกป้องซาราห์ คอนเนอร์ (ลินดา แฮมิลตัน) จากมือสังหารแห่งอนาคต
เมื่อพูดถึง “ฅนเหล็ก 2029” หลายคนจะนึกถึง Terminator 2 : Judgement Day เสียส่วนใหญ่ ผมเองก็ยกให้ T2 เป็น “หนังแอ็กชั่นยอดเยี่ยมตลอดกาล” เช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อเอา The Terminator กลับมาดูอีกรอบ…..ผมรู้สึกทึ่งว่ะครับ! โคตรทึ่งเลย!
ผมทึ่งจนต้องยกให้ภาคแรกนี่คลาสสิคในระดับเดียวกับ T2!!
ก็จะไม่ให้ทึ่งได้อย่างไรละครับ ลองคิดดูว่า ผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน สร้างหนังเรื่องนี้ด้วยทุนที่ค่อนข้างต่ำ ไม่ถึงกับต่ำเตี้ยติดดินแต่ก็ถือว่าต่ำ กระนั้นเขาก็ทุ่มพลังสุดชีวิตเพื่อจะทำให้มันออกมาเนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ ทุกฉาก ทุกซีน ผมไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือหนังไซไฟทุนต่ำ! ผู้กำกับเจมส์ คาเมรอนได้ชื่อว่าเป็น “จอมประณีต” คือพี่แกจะพยายามทำให้ทุกช็อตทุกซีนดูสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ นิสัยนี้นี่แหละที่ทำให้ The Terminator เป็นหนังไซไฟทุนต่ำที่ดูดีสุดๆ ความรู้สึกเหมือนหนังเกรด B ก็จริง แต่โปรดักชั่นและฉากแอ็กชั่นอยู่ในระดับน้องๆหนังเกรด A
ในขณะที่ T2 คือหนังแอ็กชั่นเต็มรูปแบบ The Terminator กลับมีอารมณ์ของหนัง “ไซไฟ-ระทึกขวัญ” ซึ่งกระเดียดไปทาง “สยองขวัญ” ด้วยซ้ำไป ตอนแรกผมนึกว่าคิดไปเอง เพราะผมได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนเด็ก อาจเลยรู้สึกว่ามันคือหนังสยองขวัญ ทว่าพอโตขึ้นก็ได้รู้ว่า จริงๆเจมส์ คาเมรอนแอบได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก Halloween ของจอห์น คาเพนเตอร์ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจทำ “หนังเชือด (slasher) ทุนต่ำ” ในแบบของตัวเองเช่นกัน!! เจ๋งว่ะ!! แต่ว่า พอนั่งนึกดูดีๆ บางทีที่ตอนเด็กผมรู้สึกว่ามันน่ากลัว ก็อาจเป็นเพราะ “เทคนิคพิเศษแบบดิบๆสไตล์หนังทุนต่ำ” ก็เป็นได้ อารมณ์มันเหมือนกับ Evil Dead ภาคแรกของแซม ไรมี่ที่ทุนต่ำสุดๆ แต่ความทุนต่ำของมันทำให้ดู “ดิบ” จนฝังใจ ผมคิดว่าฅนเหล็ก 2029 ภาคแรกก็น่าจะเป็นแบบนั้น
เอฟเฟกต์แบบหนังทุนต่ำ ทำให้ไซบอร์กดูน่ากลัวขึ้น
ผมชอบที่หนังแทบจะไม่มีบทพูดอะไรมากนัก ฉากแรกที่อาโนลด์โผล่บนจอช่างน่าเกรงขาม ตัวของเขาใหญ่โต และการแสดงที่แข็งทื่อก็ช่างเหมาะกับบทของหุ่นสังหารจากอนาคตดีแท้ เจมส์ คาเมรอนเก่งมากในการนำเสนอให้รู้ว่าใครคือหุ่น ใครคือคน เพราะพออาโนลด์โผล่ออกมาปุ๊บ ก็เดินแก้ผ้าโชว์ตูดไปจัดการพวกนักเลงและขโมยเสื้อผ้ามาใส่ มันมีฉากที่นักเลงใช้มีดแทงใส่อกอาโนลด์แต่ก็ไม่สะทกสะท้าน ดูยังไงแม่งก็ไม่ใช่มนุษย์ว่ะ ไอ้หมอนี่
ในขณะเดียวกัน ตอนที่ไคล์ รีส ซึ่งแสดงโดยไมเคิล บีห์นปรากฏตัว อารมณ์กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนที่รีสปรากฏตัว เขาแสดงท่าทีเจ็บปวดสมเป็นมนุษย์ เวลาเจอตำรวจก็วิ่งหนี แบบนี้ดูยังไงแม่งก็คนแน่ๆ
ซีนแรกที่ไซบอร์ก (อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์) ปรากฏตัว น่าเกรงขามจนรู้สึกได้ว่าผิดมนุษย์
การปรากฏตัวของไคล์ รีส แตกต่างจากของไซบอร์กอย่างเห็นได้ชัด
แล้วพอหลังจากเปิดตัวฅนเหล็กกับไคล์ รีสด้วยโทนสีที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง ซีนถัดมาที่เปิดตัวเป้าหมายของเรื่อง ซาราห์ คอนเนอร์ก็สว่างโร่เล่นเอาแสบตาเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเจมส์ คาเมรอนคุมโทนได้อย่างแม่นยำมาก ซาราห์ถูกนำเสนอให้เป็น…ถ้าพูดแบบคอการ์ตูนญี่ปุ่นก็ต้องเรียกว่า “ตามขนบโมเอะ” คือเธอเป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารที่อารมณ์ดี ซุ่มซ่ามใส่แขก และโดนเด็กแกล้งอีก โอ้โห โมเอะเวอร์ชั่นฝรั่งยุค 80 ว่ะเฮ้ย!!
แต่การนำเสนอคาแร็กเตอร์แบบนี้นับว่ามีผลมากทีเดียว เพราะดูยังไงซาราห์ก็เป็นเด็กสาวแสนใสซื่อธรรมดา ไม่มีพิษมีภัย ทว่ากลับต้องเจอไอ้กล้ามโตไล่ล่า มันก็ต้องรู้สึกลุ้นเหมือนหนังสยองขวัญอย่าง Halloween ที่นางเอกผู้เวอร์จิ้นต้องถูกฆาตกรใส่หน้ากากไมเคิล ไมเออร์สไล่ล่าอยู่แล้ว
นี่ละครับ คือจุดแข็งสำคัญของ The Terminator แน่นอนว่าความประณีตด้านเทคนิคในแบบของหนังทุนต่ำ อย่างฉากที่อาโนลด์เฉือนตาตัวเอง หรือฉากที่อาโนลด์ค่อยๆกลายเป็นโครงกระดูกเดินไล่ล่าซาราห์ จะเป็นหัวใจสำคัญ แต่หนังแนวนี้จะไม่สามารถสมบูรณ์ได้หากขาด “คาแร็กเตอร์ที่คนดูเอาใจช่วย” และในบรรดาตัวละครทั้งหมด ซาราห์มีพัฒนาการตัวละครที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเธอคือเด็กสาวใสซื่อ แต่ตอนท้ายเธอมีคราบของ “แม่ผู้จะให้กำเนิดฮีโร่ในอนาคต” แฝงอยู่ หลายคนอาจจะคิดว่า เฮ้ย หนังแอ็กชั่นเอาอะไรมากมาย ไม่ใช่เข้าชิงออสการ์สักหน่อย! แต่…..ตัวละครที่ดีมันก็มีความสำคัญนะครับ เห็นได้ชัดคือ หนังฅนเหล็กตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นไป มันห่วยลงเรื่อยๆเพราะไม่มีตัวละครให้คนดูเอาใจช่วยเหมือนสองภาคแรกนั่นเอง
ซาราห์ “กลายสภาพ” ในตอนท้ายเรื่อง
วิธีการสร้างอารมณ์ร่วมของเจมส์ คาเมรอนนั้นสุดยอดเลยทีเดียว ในขณะที่นำเสนอด้านใสซื่อของซาราห์ ฅนเหล็กก็แสดงความเหี้ยมเกรียมให้คนดูได้เห็นอย่างชัดเจน เช่น ฆ่าคนขายปืนแล้วขโมยปืน จากนั้นแวะไปยังตู้โทรศัพท์ เปิดสมุดโทรศัพท์ไล่หาชื่อซาราห์ คอนเนอร์ซึ่งก็มีอยู่เพียบ จากนั้นก็ค่อยๆไล่ฆ่าคนที่ชื่อซาราห์ทีละคนสองคน
แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ระทึกยิ่งขึ้นก็คือ ความอึดทนทายาดขั้นสุดยอดของฅนเหล็กนี่แหละ! คือถึงแม้ไคล์ รีสจะโผล่มาช่วยปกป้องซาราห์จากเงื้อมมือของไอ้กล้ามโต แต่ยังไงรีสก็ยังเป็นมนุษย์ปกติ ทว่าอีกฝ่ายเป็นถึงไซบอร์กสังหาร (ไซเบอร์ไดน์ ซิสเต็ม โมเดล 101 – T800) ที่ทำยังไงก็ฆ่าไม่ตาย ! โดยระเบิดไฟลุกก็ไม่ตาย! แถมยังบุกทำลายสถานีตำรวจจนแทบไม่มีเหลือ! ในขณะที่พัฒนาการของซาราห์คือ “เด็กสาวใสซื่อ –> คุณแม่ผู้แข็งแกร่ง” ทางด้านไซบอร์กเองก็มีพัฒนาการของตัวละครเหมือนกันครับ! พัฒนาการที่ว่าก็คือ “เหมือนมนุษย์ –> ผิดมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ” ซึ่งตรงนี้มีผลกับอารมณ์ของเรื่องราวมากครับ
ความน่ากลัวของไซบอร์กสังหารถูกนำเสนอให้ผิดมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกก็เหมือนมนุษย์ปกติดีอยู่หรอก แต่พอโดนไฟครอก ขนคิ้วก็หาย พอเปิดฉากไล่ล่ากับไคล์ รีส ดวงตาที่เป็นเยื่อมนุษย์ก็เสียหายจนต้องงัดออกจนเห็นดวงตาสีแดงที่อยู่ด้านใน แถมตอนท้ายพอรถบรรทุกระเบิดใส่อย่างแรง ถึงผิวหนังจะหายไป แต่มันก็ได้เผยร่างที่แท้จริง นั่นคือโครงกระดูกเหล็ก (endoskeleton) และเคลื่อนไหวเพื่อสังหารเป้าหมายต่อไป! หูย สมัยเด็กนี่ ผมรู้สึกกลัวไอ้หมอนี่จับใจ พอๆกับไมเคิล ไมเออร์สหรือเฟรดดี้ ครูเกอร์เลยละครับ!!
หุ่น T800 ถูกสร้างเพื่อการแทรกซึม จึงมีผิวหนังเหมือนคนทุกประการ
ระหว่างดำเนินเรื่อง ไซบอร์กเริ่มผิดมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนท้าย “เผยธาตุแท้” กลายเป็นหุ่นเต็มรูปแบบ
แต่นี่แหละคือความสนุกของหนังเรื่องนี้ เพราะมันมีตัวละครให้เอาใจช่วย เพราะมันมีตัวร้ายที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตายนี่แหละ มันถึงได้ลุ้นระทึก!! แม้เด็กชายอย่างผมจะกลัวแค่ไหน สายตาก็ไม่อาจละจากจอไปได้เลย!! (จริงๆต้องเรียกว่า ดูไปปิดตาไปมากกว่านะ)
ผมชอบพล็อตของหนังภาคแรกครับ พล็อตมันเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ก็แอบมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ตกใจเล่น อย่างเรื่องของซาราห์กับไคล์ รีส ซึ่งในสมัยเด็กผมรู้สึกว่า…โห อะไรกัน… มันตะลึงพอๆกับ I am Your Father (ข้าคือพ่อเจ้า) ของดาร์ธเวเดอร์ใน Star Wars เลยทีเดียว
แต่พูดก็พูดเถอะนะครับ หนังดีหนึ่งเรื่อง มันไม่มีความจำเป็นจะต้องซับซ้อนอะไรเลย The Terminator ภาคแรก หากเทียบกับ Terminator Genesys อาจเรียบง่ายเกินไป แต่อะไรที่เรียบง่าย หากถูกนำเสนอได้ดีมันก็ออกมาดี ตรงกันข้าม Terminator Genesys คือตัวอย่างของความพยายามทำอะไรซับซ้อนแต่ออกมาแป๊ก คือสนุกก็สนุกอยู่หรอก แต่พล็อตมันมั่วจนปวดหัว พลอยทำให้ความประทับใจลดลงแบบฮวบฮาบจนเกือบจะต่ำเตี้ยติดดิน
ดังนั้นหากจะพูดว่าผมประทับใจอะไรใน The Terminator ของปี 1984 นี่ ก็ต้องบอกว่า เกือบจะทุกๆอย่างเลยครับ ทั้งบท ทั้งตัวละครฝ่ายตัวเอกที่น่าเอาใจช่วย ฝ่ายตัวร้ายที่น่ากลัว หยุดไม่อยู่ ฆ่าไม่ตาย ฉากแอ็กชั่นที่ทำได้ดีแม้จะทุนต่ำ เอฟเฟกต์ที่ประณีตแม้จะทุนต่ำ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การเล่าเรื่องที่ไหลลื่นและลงตัว และมันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ประทับใจแน่ๆ หลังจาก The Terminator ภาคแรกนี้ออกฉายที่อเมริกา ไม่เพียงแค่หนังจะทำกำไรจนอยู่ในระดับประสบความสำเร็จ แต่ทั้งผู้กำกับเจมส์ คาเมรอนและนักแสดงอย่างอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ก็กอดคอกันดังพลุแตกไปเลย!