Left Behind ทำเอาผมอ้าปากค้างไปพอสมควร คือไม่นึกว่าหนังจะออกมาธรรมดาเกินคาดหมายขนาดนี้
เรื่องว่าด้วยจู่ๆ ผู้คนนับล้านก็หายไป เหลือไว้เพียงเสื้อผ้า เหตุการณ์นี้เกิดทั่วไม่ว่าจะในเมืองหรือบนเครื่องบิน ซึ่งเหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นการพยายามหาคำตอบของคนที่ยังเหลืออยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไปกันแน่
จำได้ว่าฉบับนิยายมีชื่อเสียงพอสมควร ในบ้านเราก็พูดถึงกันพักหนึ่ง และอันที่จริงนิยายชุดนี้ก็เคยมีการทำออกมาเป็นหนังไตรภาคแล้วรอบหนึ่ง (เป็นหนังลงวีดีโอเลยครับ) ซึ่งฉบับนั้นผมยังไม่เคยดูเลยบอกไม่ได้ว่ารสชาติประมาณไหน แต่กับฉบับนี้บอกได้เลยว่านิ่งมาก
พอเข้าใจครับว่าหนังจะเน้นไปที่ความเชื่อเรื่องพระเจ้า วันพิพากษา และวันสิ้นโลกอะไรประมาณนั้น บทสนทนาในเรื่องก็จะมีประเด็นเหล่านี้ถูกพูดถึงอยู่ตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วหากมีการผูกบทสนทนาให้น่าสนใจ ให้มันสะกิดต่อมคิด หรือไม่ก็ไปในเชิงปรัชญาสักหน่อย หนังจะน่าสนใจมากเลยครับ เพราะหนังตั้งคำถามถึงการมีตัวตนของพระเจ้า การตัดสินใจของพระองค์ และอื่นๆ ซึ่งมันเปิดช่องให้เล่นกับความคิดของคนไ้ด้อย่างดี
แต่น่าเสียดายครับที่บทพูดไม่เร้าสมองขนาดนั้น การเดินเรื่องก็ถือว่าเรื่อยๆ ไม่มีจุดเร้าเท่าไรนัก คือถ้าจะมีตอนให้ตื่นเต้นก็คือตอนที่เกิดเหตุคนหายเป็นครั้งแรกนั่นแหละครับ อารมณ์มันก็ดูวุ่นวายและน่าตื่นตระหนกพอใช้ได้ แต่หลังจากนั้นมาหนังกลับไปไม่ถึงไหน ยิ่งบทสนทนาไม่ได้น่าสนใจด้วยแล้ว อะไรๆ มันเลยกลายเป็นความน่าเบื่อไปเสียแทน
จุดที่น่าเสียดายคือหนังสามารถเล่นกับความลึกลับได้ เพราะปมมันเยอะนะครับ จู่ๆ คนหายไป มันเกิดอะไรขึ้น คือแทนที่หนังจะมีการถกเถียงที่ออกรส หนังกลับมีแต่การพูดแบบ “พูดไปอย่างนั้น” เหมือนจะถกแต่ก็ไม่ถก
ก็พอเข้าใจครับว่าสุดท้ายแล้วหนังจะลงเอยสรุปมาที่เรื่องของพระเจ้า แต่อย่างน้อยชั้นเชิงการนำเสนอ ชั้นเชิงการไล่ลำดับเหตุผลก็น่าจะมีมากกว่านี้ หากมีการถกแบบจริงจัง ไล่เรียงเหตุผลความคิดแบบจัดเต็ม แล้วค่อยตลบมาที่เรื่องพระเจ้า หนังก็จะทำให้เราคล้อยตามได้มากกว่าที่เป็น
เสียดายแทน Nicolas Cage ครับ เป็นอีกหนึ่งหนังแป๊กในระยะหลังของเขา แต่อย่างน้อยหนังก็ไม่ถึงกับขาดทุน เพราะลงไป $16 ล้าน ได้คืนมาจากทั่วโลกประมาณ $19.6 ล้าน อย่างน้อยตอนออกแผ่น และตอนขายลิขสิทธิ์ฉายทีวีก็น่าจะได้เงินคืนทุน
ป๋า Cage แกก็ไม่ได้เล่นแย่นะครับ แต่บทไม่เอื้อให้เล่นอะไรเท่าไร ในขณะที่ดาราที่ผมจดจำไกลับเป็น 2 ดาราสาวอย่าง Nicky Whelan ในบทแฮตตี้ แอร์โฮสเตสสาว กับ Cassi Thomson ในบทโคลอี้ ลูกของป๋า Cage ซึ่งพวกเธอสวยครับ น่ารักดี แล้วก็มีบทบาทแสดงอารมณ์ได้โอเคในระดับหนึ่ง
ดูเรื่องนี้แล้วนึกถึง The Man From Earth ขึ้นมาทันที เพราะเป็นหนังที่เน้นพูดแล้วก็มีการกล่าวถึงเรื่องความเชื่อกับเรื่องพระเจ้าเช่นกัน แต่เรื่องนั้นพูดแล้วต่อมคิดทำงานแบบบานตะไท ยิ่งดูยิ่งเพลิน ยิ่งดูยิ่งสนุกคิด แม้จะพูดทั้งเรื่องโดยไม่มี Effect อะไรมาเจือปนแต่ก็ดูสนุกได้ น่าติดตามได้ และลุ้นได้อย่างยอดเยี่ยม (เรื่องนั้นลงทุน $2 แสนเองครับ)
อีกเรื่องก็ The Langoliers ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นขนาดยาวของ Stephen King เรื่องนั้นก็ว่าด้วยคนหายเช่นกัน แต่การเดินเรื่อง ตามปม และเฉลยปมทำได้ดีกว่ากันมาก
เอาเป็นว่าเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วผ่านไปครับ