Miami Vice (2006) ไมอามี่ ไวซ์ คู่เดือดไมอามี่
ผมว่าพวกคำพังเพยสุภาษิตทั้งหลายของบ้านเรามันก็ค่อนข้างตรงกับความจริงเน้อะ คือเห็นจริงได้ตลอดหากเราสังเกตกันดีๆ และจากหนังเรื่องนี้ก็เข้าข่ายลางเนื้อชอบลางยาไปเต็มๆ
จริงๆ ผมดูหนังเรื่องนี้ไปเมื่ออาทิตย์ก่อนครับ แต่หลังๆ นี่ไม่รู้เป็นไรชอบทิ้งช่วง เผื่อนึกอะไรได้จะได้ใส่ลงมาให้ครบๆ (อีกสาเหตุหนึ่งคือ ขี้เกียจครับ )
แรกเริ่มเดิมทีผมไม่ได้กะจะไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงหรอกนะฮะ เพราะไม่รู้เป็นอะไร ผมไม่ค่อยนิยมจะไปนั่งดูหนังของผู้กำกับ Michael Mann ในโรง สาเหตุสำคัญก็เพราะ ยังไงผมก็ต้องดอดไปซื้อตอนแผ่นออกอยู่แล้ว หนังแกไว้ใจได้ตลอดมา ไม่ดูก็รู้เลยว่ามันต้องมีดี แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ชอบผลงานของแกแบบเต็มที่ คือรู้ว่าหนังมีดีน่ะครับ แต่รสชาติอาจจะยังไม่ถูกปากถูกคอผมเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหนังแกมีดีผมก็ต้องว่าไปตามนั้น
บางทีเราก็ต้องแยกให้ออกระหว่างความชอบที่เรามีติดตัว กับความดีชั่วที่อยู่ในหนังน่ะเน้อะ
แต่จนแล้วจนรอดก็ดูจนได้ เพราะเอาอีกแล้วครับ หนังมันแตกกระแสคำวิจารณ์ออกเป็นสองแนวอีกแล้ว ซึ่งแนวนึงก็บอกว่าหนังเข้มรสข้น ในขณะที่อีกเสียงหนึ่งก็ออกเสียงมาจังๆ ว่าหนังไม่มันส์ ไม่เร้าใจ ไม่ตื่นเต้น
ฮ่าๆๆ ไอ้กระผ้มล่ะชอบอยู่แล้วครับเรื่องต่อยตี เอ้ย ไม่ใช่ หมายถึงเรื่องความเห็นที่ต่างกันน่ะครับ พอเจอแบบนี้เลยอดไมได้ที่จะปรี่เข้าไปในโรงเพื่อดูว่ามันยังไงกันหนอ ทำไมคนชอบบ้างไม่ชอบบ้าง
ผมก็อย่างนี้หและครับ หนังเรื่องไหนคนชอบบ้างไม่ชอบบ้างก็ต้องไปพิสูจน์เพื่อหาคำตอบให้ตนเอง ยิ่งหนังเรื่องไหนที่น่าจะดีแต่คนด่ามากๆ ก็ยิ่งน่าไปดู เพราะอยากรู้ว่าหนังพลาดตรงไหน หรือการรับสารผิดพลาดอย่างไร (อย่าง Lady in the Water เงี้ยครับ หนังน่าจะดี แต่ไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้สาระ)
อย่างที่บอกว่าหนังของ Mann ผมไม่ใคร่จะดูในโรง เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นอย่างไร และหนึ่งในสิ่งที่ผมรู้คือ หนังของแกจะไม่มันส์!
มันส์ ณ. ที่นี้คือมันส์แบบป็อบคอร์น ประมาณว่าเอาปืนไล่ยิง รถกลิ้งสปินเกลียว 5 ตลบครึ่ง แล้วก็มุมกล้อง 360 องศา (สไตล์ Michael Bay) หรือไล่เตะไล่ต่อย มีระเบิดเต็มฉาก เอาบ้านทั้งหลังมาพังเล่น
คือถ้าท่านคาดหวังอะไรข้างต้นจากหนังของ Mann ล่ะก็ท่านกำลังเดินผิดทางอย่างแรงครับ ซึ่งท่านสามารถลองหางานเก่าๆ ของแกมาดูทบทวนได้ไม่ว่าจะ Manhunter, The Last of the Mohicans, Heat, Collateral, Ali, The Insider
หนังที่บอกหล่านั้นจะมีองค์ประกอบสำคัญคือ ดาราดี บทดี การเดินเรื่องเข้ม เน้นตัวละครมากกว่าจะไปเน้นความมันส์และความลุ้น
กล่าวคือ Action ทางฉากบู๊ล่ะไม่โดดเด่น แต่ Action ทางจิตใจคนนั้นจะเน้นจนเห็นได้ชัด
ดังนั้นในเบื้องต้นครับ ผู้ที่ยังไม่ได้ดูแต่อยากชมหนังแอ๊คชั่นมันส์ๆ แบบ Bad Boys หรือ Lethal Weapon ล่ะผมคงต้องขอเบรคไว้หน่อยล่ะนะครับ ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกจ้า
ก็เพราะมัวคิดกันว่าหนังจะเป็นแอ๊คชั่นเร้าใจ คนดูเลยส่ายหน้าออกมาเป็นแถว ไม่ต้องอื่นไกลครับ รอบที่ผมดูเลย พอดูจบก็ได้ยินเสียงน้องคนหนึ่งจากทางด้านหลังว่า “เสียดายตังค์อ้าาาาาา” ไม่ใช่แค่ “อ้า” นะครับ แต่น้องเขาลากเสียงเป็น “อ้าาาาาา” จริงๆ ซึ่งบ่งบอกถึงระดับความผิดหวังได้เป็นอย่างดี
ส่วนผมน่ะเหรอครับ เฮ้อะๆๆ ผมก็ยืนดู End Credits ด้วยความสุขีปรีดิ์เปรม เพราะอิ่มเอมใจ รู้ตัวว่ามาดูหนังถูกเรื่องแล้วตู … ก็นี่แหละหนังพี่ Mann ล่ะ
พล็อตหลักของ Miami Vice ก็มีเพียง สองคู่หูมือปราบแห่งไมอามี่ เจมส์ “ซันนี่” คร็อคเกตต์ (Colin Farrell) และ ริคาร์โด้ ทับบ์ส (Jamie Foxx) เข้าปฏิบัติภารกิจปลอมตัวเพื่อแทรกซึมเข้าไปยังองค์กรค้ายาเสพติดของ โฮเซ่ เยโร่ (John Ortiz)
แต่พอสืบไปสืบมาก็พบว่าเยโร่นั่นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เพราะหัวหน้าจอมบงการรายใหญ่จริงๆ กลับเป็น มอนโทย่า (Luis Tosar) ซึ่งรายนี้ทำธุรกิจผิดกฎหมายแผ่เครือข่ายไปทั้วโลก
สองมือปราบของเราก็เลยต้องทำให้คนพวกนี้ไว้ใจเขาอย่างเนียนที่สุด ซึ่งทับบ์สก็จัดการด้วยวิธีสุขุมเนิ่บๆ ตามสไตล์ ในขณะที่ซันนี่ก็เกิดต้องตาต้องใจกับอิซาเบลล่า (กงลี่) สาวสวยภรรยาของมอนโทย่า แล้วทั้งสองก็เริ่มสานสัมพันธ์กัน
เนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละครับผม เนื้อหานอกจากนั้นก็ไปดูต่อในหนังตามเคย
หนังยาวราวๆ สองชั่วโมงสิบนาทีหน่อยๆ นะครับ ก็นับว่ายาวพอดู ช่วงต้นๆ มีอืดบ้าง แต่พอสองมือปราบเราเริ่มเข้าสู่โลกของการค้ายาแล้ว หนังก็เริ่มน่าติดตามครับ ไม่ว่าจะการตามสืบคดี การใช้ไหวพริบของคู่หูซันนี่กับริคาร์โด้ แล้วก็การเกี้ยวพาราศีระหว่างซันนี่กับอิซาเบลล่า
แต่เนื้อเรื่องทั้งหลายทั้งแหล่นี้ดำเนินไปอย่างติดดินครับ ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ก็คงเป็นวอลโว่รุ่นเก่านิดนึง ขับเนิ่บไปเรื่อยๆ แต่ทุกชีวิตปลอดภัย มีเร่งบ้างผ่อนบ้าง ให้ล้อลอยเหนือพื้นบ้างแต่ก็ไม่เกิน 2 เซ็นต์
บอกแล้วครับหากอยากดูหนังที่ฉวัดเฉวียนกะทัดรัดแบบรถยาริสน่ะให้ไปหาพวก Michael Bay หรือ Jerry Bruckheimer ดีกว่า
ท่านอื่นๆ ที่ดูหนังแล้วผิดหวังคงเพราะไม่ทราบทางของประการหนึ่งและไม่ทราบรสมือของผู้กำกับอีกประการหนึ่ง ส่วนผมนี่ดูตัวอย่างก็รู้อ้ะครับ ไม่มีทางที่มันจะเป็นหนังจุดไฟระเบิดกระท่อมได้เลย ผมเลยกลมกล่อมในใจ ไม่มีความหวังให้ผิดซักเท่าไหร่
Mann ยังคงเป็น Mann ครับ หนังของแกยังเน้นเรื่อง action ด้านจิตใจคนตามเคย
เพราะแม้เรื่องราวจะมีฉากหลังเป็นการสืบสวน แต่จุดใหญ่ที่หนังเล่นคือเรื่องเชิงดราม่าของตัวละครหลัก 3 ตัว นั่นคือ ซันนี่ ริคาร์โด้ และอิซาเบลลา
ซันนี่กับริคาร์โด้นั้นคือสองมือปราบที่ลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยแรงผลักดันอันหลากหลาย เริ่มจากด้วยภาระหน้าที่ และการที่ต้องเห็นสายกับครอบครัวต้องไปมาจบชีวิตอย่างอนาถ
ด้านหน้าที่ … พวกเขาคือตำรวจที่ต้องจัดการพวกค้ายาอันธพาลเหล่านี้ รวมไปถึงการตามสืบสร้อยสนกลใน ว่าทำไมข่าวเกี่ยวกับสายของเขาถึงได้รั่วไหลออกไปได้
ด้านส่วนตัว … คือการที่เห็นสายต้องมาตายไปต่อหน้าต่อตา และพี่น้องของสายรายนี้ก็มาโดนเล่นงานอย่างโหดเหี้ยมซะอีก
ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยหน้าที่หรือส่วนตัว พวกเขาไม่ยุ่งเรื่องนี้ไม่ได้
เมื่อแรงผลัก ได้ดันพวกเขาเข้าสู่การแทรกซึมเข้าองค์กรแล้ว ก็ตามด้วยการปฏิบัติหน้าที่ตามแบบฉบับของทั้งสอง อย่างที่บอกครับ ริคาร์โด้ เดินแผนแผนเนิ่บนิ่ง สุขุม ส่วนซันนี่ก็ออกจะเลือดร้อนรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่บ่อยๆ จุดนี้สองคนเริ่มเดินคนละเส้นทางแล้วครับ ในขณะที่ริคาร์โด้เดินตามสเต็ป แต่ซันนี่ได้ฉีกออกไป โดยการสานสัมพันธ์กับอิซาเบลล่า
อันนี้บางคนบอกซันนี่แกไปวนเวียนยั่วๆ อิซาเบลล่าเพราะแกหื่น แต่ผมว่าไม่น่าจะแค่หื่นนะ ไอ้หื่นน่ะส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะแกสังเกตสังกาดูเจ๊อิซาเบลล่าอยู่ตลอด เพื่อจะได้ใช้เธอเป็นสะพานสานเข้าไปในส่วนลึกขององค์กรในส่วนหนึ่ง จุดที่ทำให้ซันนี่มั่นใจว่าสามารถเข้าทางเธอได้ และเธอสนใจเขาแน่นอนคือตอนที่เธอหันมาสบตากับเขา ระหว่างที่เธอนั่งรถออกไปกับมอนโทย่า
ซันนี่เลยจัดการเกี้ยวอิซาเบลล่า ซึ่งไปๆ มาๆ จากแค่ความคิดจะใช้เธอเป็นสะพานก็เริ่มเปลี่ยน มีเรื่องรักใคร่เพิ่มเติมเข้ามาจนลงสูตรหนังแนวนี้ สไตล์มือขวาเจ้าพ่อไปหลงรักเมียของเจ้านายอะไรทำนองนั้น เพียงแต่เรื่องนี้ซันนี่แกไม่ได้คิดว่ามอนโทย่าเป็นนายอะไรเลยครับ แกตั้งหน้าตั้งตาจีบแบบเต็มๆ
ซึ่งทั้งซันนี่และริคาร์โด้ก็เป็นตัวละครตามแบบฉบับของหนังคู่หูตำรวจ ที่ต่อให้เข้าขากันได้ขนาดไหน ก็ต้องมีวิธีการทำงานและวิถีชีวิต อุปนิสัยที่แตกต่างกันไป
หนังคู่หูเรื่องไหนที่สองตำรวจดันเหมือนกัน ไม่มีจุดแตกต่างกันเลย ย่อมออกมาจืดสนิทอย่างไม่ต้องสงสัย
Miami Vice จึงเป็นหนังที่ทั้งต่างและไม่ต่างจากหนังสูตรตำรวจคู่หูทั้งหลายแหล่ ที่ว่าไม่ต่างคือ คู่หูต้องมีความแตกต่าง อาจไม่ถึงกับต้องทะเลาะกันประจำแบบ ริกก์สกับเมอร์ทัฟ ใน Leathal Weapon แต่ก็ต้องต่างกันบ้างเพื่อรสชาติสีสัน
แต่ที่ว่าต่างคือ หนังไม่ได้ถวายฉากแอ๊คชั่นแบบถึงใจพระเดชพระคุณให้กับคนดู
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะ นี่คือหนังของ Mann และ นี่คือ Miami Vice
Miami Vice เรื่องนี้เป็นเอาซีรี่ส์ชื่อเดียวกันนี้มาสร้างใหม่เป็นหนังใหญ่นะครับ ซึ่งซีรี่ส์ MV นี้โด่งดังเอาเรื่องเมื่อช่วงยุค 80 ซึ่งก็มี Mann นี่แหละเป็นผู้อำนวยการสร้าง ให้กำเนิดหนังชุดนี้ขึ้น และสิ่งที่หนังชุดนี้ชูประเด็น อันทำให้ซีรี่ส์ฮิตขึ้นมาก็คือ หนังไม่ได้เน้นแอ๊คชั่นเป็นหลัก แต่หนังเน้น “ดราม่า” ซึ่งถือว่าแปลกใหม่ไม่ใช่น้อยในยุคนั้น และแน่นอนว่าความเข้มข้นของซีรี่ส์ต้องไม่ธรรมดา ไม่งั้นคงไม่ได้คำชมมากมายอย่างนั้นหรอก
ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นในหนังก็คือการเอา MV ดั้งเดิมมาสร้างใหม่ โดยผู้สร้าง MV ดั้งเดิม
จะมีการปรับโน่นแต่งนี่นิดหน่อยก็เพื่อให้เข้าสมัยบ้าง แต่โครงหลักๆ ก็ยังเป็นหนังตำรวจเน้นดราม่าอยู่ตามเคย และหากว่ากันถึงจุดนี้ หนังก็ทำได้ไม่ผิดหวังครับ เพราะเนื้อเรื่อง ตัวละครจัดว่าออกมาเข้มเข้าที มีที่มาที่ไปทางอารมณ์ (ถ้าสังเกตดีๆ น่ะนะครับ)
แต่ก็ยอมรับน่ะว่าคู่หูซันนี่กับริคาร์โด แม้จะทำออกมาดีและเข้ม แต่ก็ยังไม่ถือว่าสุดยอดเต็มที่ มีจุดเบาบาง พร่องบ้าง แต่ก็เล็กๆ น้อยๆ ไม่มากเพียงพอที่จะบดบังความดีที่หนังเสนอมาได้ และต้องขอบคุณความแน่ของ Farrell และ Foxx ที่แสดงได้อย่างเต็มที่ ได้ข่าวว่ามีการไปเข้ารับการฝึกจากหน่วยงานจริงด้วยนะครับ แกเลยออกมาเนียน ดูเป็นตำรวจได้ถึงใจ ร้ายมีเล่ห์ เก่งมีฝีมือ ซึ่งจุดบอดเกี่ยวกับตัวละครก็ได้ฝีมือสองนักแสดงนี่ช่วยกลบไปได้เยอะ Farrell ก็ดูดีเท่ห์ และเจ้าอารมณ์พอประมาณ แต่แกไม่ได้เจ้าอารมณ์แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงนะครับ เขายังพอมีดิสเบรคคุมตัวเองอยู่ได้
ส่วน Foxx แม้จะบทน้อยกว่า แต่ออกมาทีไรก็หายห่วงล่ะ ยิ่งไอ้ฉากตอนที่เจอกับเยโร่เป็นครั้งแรก แล้วแกก็แสดงความเป็นอาชญากรได้อย่างยอดเยี่ยม ไอ้ตอนต่อรองกับเยโร่น่ะครับว่าจะให้เขาทำงานนี้มั้ย ไม่ทำก็ไม่ง้อนะโว้ยไรเงี้ย ยอดเยี่ยมจริงๆ
แต่ไปๆ มาๆ พอพูดถึงตัวละครทั้งหลาย แม้สองตัวหลักจะดี แต่รายที่ผมเทใจให้จริงๆ กลับเป็นบทอิซาเบลล่าของกงลี่เสียมากกว่า
ครับ ก็ในเรื่องเธอออกจะเปลืองตัวขนาดนั้น เอ้ย ไม่ช่ายยย เอิ้กๆๆ (หัวเราะกลบเกลื่อนความหื่นบางประการของตนเอง)
อิซาเบลล่า ถือเป็นบทที่มีสีสันและความซับซ้อนไม่น้อย เธอเป็นสตรีที่เรียกได้ว่า “เหนือบุรุษ แต่ไม่เหนือบุรุษ”
ที่ว่าเหนือบุรุษคือ เธอเป็นสาวแกร่งที่ทะมัดทะแมง ทำงานได้ดีไม่แพ้ชายอกสามสอง เป็นนักธุรกิจที่พร้อมจะเลือดเย็นได้ทุกเมื่อ และไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ชนิดที่เธอเป็นเจ้าแม่ได้เลยด้วยซ้ำ เธออยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงผู้ชาย ไม่ชายตามองผู้ชายคนไหน … แต่นั่นเป็นเพียงลักษณะภายนอกเท่านั้น
อิซาเบลล่าเป็นสาวลูกครึ่งจีน – คิวบาที่ต้องมาคลุกคลีกับวางการใต้ดินค้ายาแบบนี้ตั้งแต่อายุ 16 … ผู้หญิงที่ต้องมาเจอแบบนี้หากไม่สามารถปรับตัวพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งแบบอิซาเบลล่าแล้ว ก็คงไม่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่ หรือต่อให้รอดมา ชีวิตก็ย่อมเหมือนตกนรก
ดังนั้นอิซาเบลล่าที่เราเห็นเป็นสาวแกร่งก็คือตัวตนที่เธอต้องเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น เป็นเหมือนหน้ากากชนิดหนึ่งที่เธอสวมมาตลอด แต่ภายในตัวเธอนั้นก็ยังมีความเป็นอิซาเบลล่าวัย 16 ปีโดนเก็บกดอยู่ภายใน … รอใครสักคนมาปลดปล่อยเธอ ปลดปล่อยจากชีวิตแบบนี้ไปสู่ชีวิตหวือหวาแบบคนธรรมดาที่โดนช่วงชิงไป
และคนผู้นั้นก็คือ ซันนี่
ถ้าสังเกตให้ดี อิซาเบลล่ามีแววตาสองแบบครับ แบบแรกคือนักธุรกิจ เย็นชาและไม่มีอารมณ์ความรู้สึก อย่างตอนที่เราเห็นเธอครั้งแรกตอนที่ซันนี่กับริคาร์โด้ สายตาเธอเย็นชา ไม่มองหน้าใคร แต่พอเธอได้พบกับซันนี่ แววตาที่สองเริ่มโผล่ออกมา
อย่างตอนที่เธอสบตาซันนี่ขณะนั่งอยู่ในรถกับมอนโทย่านั่น สายตาที่เธอมองเขามีทั้งแววตาเย็นชาเป็นผู้ใหญ่ และเริ่มมีแววตาของเด็กอายุ 16 ที่ซ่อนอยู่ในกายปรากฎขึ้นมา
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเธอในตอนปัจจุบัน หรือเธอในวัยเยาว์ ต่างเห็นตรงกันว่า ชายคนนี้คือคนที่เธอรอ
อิซาเบลล่าไม่ได้รอแค่ใครก็ได้ (Anyone) แต่เธอรอใครสักคน (Someone) และเพื่อพิสูจน์ว่าซันนี่ใช่ Someone ของเธอ เธอจึงยอมเสี่ยงที่จะคบหากับเขา แม้ว่ามันจะอันตรายก็ตาม อันนำมาสู่ความไว้วางใจและความรักตามลำดับ จนไปๆ มาๆ เธอก็ยินยอมต่อเขาไม่ว่าจะกายหรือใจ
นี่ไงครับ เหนือบุรุษ แต่สุดท้ายก็ไม่เหนือบุรุษ
การที่ กงลี่ มารับบทนี้เห็นจะต้องบอกว่าค่อนข้างเหมาะครับ เพราะดาราหญิงที่จะแสดงความซับซ้อนทางอารมณ์ขนาดนี้ออกมาได้ เห็นทีจะมีเพียงน้อยราย
และกงลี่ก็คือหนึ่งในน้อยรายนั้น
แววตาเธอก็กรีดกรายเหลือร้าย ตอนชายตามองบอกอารมณ์หมดสิ้น ไม่ว่าจะเย็นชา หาเรื่องโกรธ รัก หลง หรือเคียดแค้นชิงชัง จะเอาอารมณ์ไหนล่ะครับเจ๊แกจัดให้หมด
ด้านหน้าตา ความเย้ายวนขออภัยที่ต้องบอกตรงๆ ว่า แก่แต่สวยจริงๆ ในเรื่องแม้เธอจะเปลืองตัวหน่อย แต่ผมว่าไม่เสียเปล่านะ เพราะผมได้ดูเต็มตา เอ้ย ไม่ช่ายยยย หลุดหลายรอบแล้วเนี่ย หมายถึง แต่ละฉากที่เธอเปลืองตัว เธอไม่ได้เปลืองแบบเสียเปล่า ไม่ว่าจะตอนเธอทำอะไรกับซันนี่ครั้งแรกจนน้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความสุข หรือตอนที่เธอตามซันนี่เข้าไปอาบน้ำ แต่ละอย่างล้วนสื่ออารมณ์ของเธอทั้งสิ้น อย่างตอนตามไปอาบน้ำเป็นต้นครับ เธอไม่ได้แค่เขาไปหา แต่เธอแสดงท่าทางเชิดหน้าอะไรด้วย ซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่ได้รักอะไรเขา ก็เลยยังกึ่งจะใช้อำนาจ กึ่งจะเป็นเด็กกับเขา
อ้อ ใช่ครับ ต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้มีฉากคนทำอะไรกันไม่น้อยนะครับ จะพาเด็กพาใครไปดูก็คิดให้ดีครับ เอาหมอนไปเผื่อก็ได้ พอถึงฉากนี้ก็เอาอุดหน้าเด็กเลยครับ (5555 )
เฮ่อ ถ้าเป็นหนังของ Mann ล่ะก็ ตัวละครต้องมีอะไรให้พูดถึงเยอะทุกที นี่แหละครับ หนังของเขา มีเยอะจริงๆ แต่ไม่ใช่ความมันส์นะ ผทหมายถึงความข้นน่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครนี่ไปดูได้เลย จะว่าไม่ซับซ้อนก็ได้ เพราะมันเป็นอะไรที่ติดดิน และเป็นไปได้ในโลก และอธิบายได้ แต่จะบอกว่าซับซ้อนก็ได้เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่แค่ปมสองปม มันมักจะมีเป็นสิบปมอย่างนี้แหละ
ผมเลยเดินยิ้มออกมาตอนดูหนังจบไง ลัลล้า ลัลล้า ลัลล้า
อืมม์ ฟังๆ เหมือนผมชอบนะ เพราะหนังมันกลมกล่อมในแนวทางของมัน ไม่ใช่แอ๊คชั่นระเบิดระเบ้อ แต่มันก็ไม่ใช่หนังสมบูรณ์ที่สุดหรอกนะครับ เพราะมันก็ยังมีจุดพร่องจุดโหว่เล็กน้อย และหนังไม่เหมาะกับคนที่อยากดูหนังมันส์ๆ ยิงกันซักเท่าไหร่ กลุ่มผู้ชมเลยออกจะจำกัดอยู่ที่แฟนหนังของพี่ Mann กับแฟนหนังแนวชีวิตตำรวจดราม่าหนักๆ
Mann ยังคงมือแน่ครับ ทำหนังได้ในแบบของเขา แต่นี่ก็ไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดหรอกนะครับ เรื่องก่อนๆ ของเขาอย่าง Heat, The Insider หรือ Collateral ยังค่อนข้างเฉียบกว่านี้ แต่ MV ก็อยู่ในมาตรฐานครับ
เหล่าดาราหลักๆ ผมก็ชมไปหมดจนน่าจะครบแล้วนะครับ ส่วนบทสมทบก็มีดีเช่นกัน ไม่ว่าจะ Naomie Harris ในบททรูดี้ แฟนสาวของริคาร์โด้, Ciarin Hinds เจ้านี้ผมก็ชอบนะ แกแสดงดีและสำเนียงเจ๋งมาก กับบทเจ้าหน้าที่ FBI ฟูจิม่า แล้วก็ John Hawkes ที่โผล่ต้นเรื่องนิดหน่อย แต่ก็น่าจดจำกับบท อลองโซ่ สายที่โดนเล่นงานจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
หนังได้เพลงดีๆ ช่วยเสริมความเร้าใจให้หนังได้เยอะล่ะครับ ฉากบรรยากาศโลเกชั่นก็กำลังดี หรือฉากยิงกันถล่มในตอนท้ายแม้จะออกมาแบบเชยๆ แต่ก็เร้าใจไม่ผิดหวังสำหรับคอหนังแนวนี้ (แนวตำรวจเข้มครับ ไม่ใช่ตำรวจป็อบคอร์น)
ป่านนี้หนังจะเหลือกี่รอบก็ไม่รู้ แต่ถ้าท่านชอบหนังสไตล์นี้ก็ขอให้ลองไปดูครับ ไม่ผิดหวังหรอก แต่ถ้าอยากดูหนังมันส์ๆ กรุณาอย่าครับ เดี๋ยวจะออกมาโวยหนังอีก เอาเป็นว่ารอดูแผ่นก็ได้นะฮะ
ส่วนผมก็ตามเคยน่ะ รู้ว่าหนังแกมีดี ชอบพอตัว แต่มันก็ไม่เชิงจะเป็นแนวของผมน่ะครับ เลยชอบแต่เหมือนมีอะไรมายั้งๆ ในใจ