หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนังระทึกขวัญ , หนัง Netflix
เรื่องย่อ : Mother/Android กองทัพแอนดรอยด์กบฏโลก (2022) [พากย์ไทย บรรยายไทย]
ชื่อภาพยนตร์ : Mother/Android กองทัพแอนดรอยด์กบฏโลก
แนว/ประเภท : Drama. Sci-Fi, Thriller
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Mattson Tomlin
บทภาพยนตร์ : Mattson Tomlin
นักแสดง : Chloë Grace Moretz , Algee Smith Raúl Castillo
วันที่ออกฉาย : 17 December 2021
หญิงสาวซึ่งกำลังตั้งท้องและแฟนหนุ่มต้องออกค้นหาที่หลบภัยเพื่อหนีตาย เมื่อกองทัพแอนดรอยด์สุดโหดลุกขึ้นมาล้างบางมนุษย์ในโลกอนาคตที่ย่อยยับ
IMDB : tt13029044
คะแนน : 4.6
รับชม : 2118 ครั้ง
เล่น : 762 ครั้ง
หนังเรื่องนี้เดิมเป็นของค่าย Miramax ทำมาฉายในช่อง Hulu ของอเมริกาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2021 แต่เน็ตฟลิกซ์ได้สิทธิ์มาฉายทั่วโลกในเวลาต่อ โดยเป็นผลงานเขียนบทพ่วงผู้กำกับมือใหม่ Mattson Tomlin ที่พึ่งเคยมีผลงานกำกับหนังเล็กๆ มาก่อนเรื่องเดียว แต่คราวนี้ได้ดาราดังอย่าง โคลอี เกรซ มอเรตซ์ ที่ทุกคนคงรู้จักกันดีมารับบทนำร่วมกับ Algee Smith (นักแสดงผิวดำที่นามสกุลเดียวกับวิล สมิธ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน) ซึ่งเป็นการนำดารามีชื่อมาปะหน้าในโปรเจ็กต์หนังทุนต่ำ เป็นสูตรสำเร็จที่หลอกคนมาดูได้เสมอ ซึ่งถ้าดีก็มีสิทธิ์ทำกำไรงาม แต่ถ้าแย่ขึ้นมาก็เท่าทุนเพราะอย่างน้อยก็ได้คนจำนวนมากมาดู แต่กับผู้ชมคงไม่โอเคเลยกับอะไรแบบนี้ และเรื่องนี้ผลลัพธ์ก็ออกมาย่ำแย่ในทุกด้าน จนแอบเสียดายที่น้องโคลอี้เอาชื่อมาเสียเพิ่มอีกเรื่องแล้วจากที่หลังๆ ก็มักจะมีปัญหานี้บ่อยครั้ง
เนื้อเรื่องเอาพล็อตเชยๆ อย่างหุ่นแอนดรอยด์ลุกขึ้นมาฆ่ามนุษย์ล้างโลกแบบไม่มีเหตุผลมาใช้ โดยจอร์เจียนางเอกของเรื่องพึ่งรู้ว่าตัวเองท้องในวันที่หุ่นแอนดรอยด์ลุกขึ้นมาฆ่ามนุษย์ ก่อนที่เธอกับแซมจะพยายามหลบซ่อนตัวจากหุ่นเพื่อหาทางไปคลอดลูกในบอสตัน ซึ่งพวกเขาได้ยินข่าวมาว่ามีโครงการรับครอบครัวมีลูกอายุไม่เกิน 1 ปีไปอยู่เกาหลี ที่มีข่าวว่าปลอดภัยจากหุ่นพวกนี้ ทำให้ทั้งคู่ต้องพยายามไปให้ถึงจุดหมายในขณะที่จอร์เจียก็ท้องแก่จนเลยกำหนดคลอดไปแล้ว
สำหรับใครที่คิดว่าหนังเรื่องนี้จะมาแอ็กชั่นบู๊ล้างผลาญตามสไตล์พล็อตหนังหุ่นล้างโลกก็ต้องตัดออกไปเลย เพราะเรื่องนี้ถึงจะมีฉากแอ็กชั่นต่อสู้กับหุ่นพวกนี้ก็จริง แต่การดำเนินเรื่องมาแนวดราม่ามากกว่า ซึ่งฉากแอ็กชั่นของเรื่องนี้เป็นแค่ส่วนน้อยนิดมากๆ มีฉากใหญ่อยู่กลางเรื่องประมาณนึงเป็นฉากขี่มอเตอร์ไซด์หลบหนีพวกหุ่นกลางป่า นอกนั้นแทบไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ฉากแอ็กชั่น” อีกเลย
ซึ่งการที่เรื่องไม่ได้เน้นแอ็กชั่นแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะพล็อตเรื่องก็พอให้คนเข้าใจได้ว่าเป็นแนวดราม่าชีวิตคู่รักวัยรุ่นที่ต้องมีปัญหากันระหว่างเดินทางเป็นเรื่องปกติ แต่เอาจุดนี้มาใส่ไว้ในโลกไซไฟที่ล่มสลายมันก็น่าสนใจอยู่ แต่ตัวบทก็ยังอ่อนมากกับการปูดราม่าระหว่างทางที่คิดยังไงก็ไม่สมเหตุผลว่าทำไมทั้งคู่ถึงทำอะไรแบบนี้ลงไป เริ่มตั้งแต่ตอนแรกที่รู้เรื่องตั้งท้องนางเอกเหมือนจะไม่ได้อยากมาอยู่ด้วยกัน แต่ตัดมาอีกทีกลับหวานจ๋อยโดยไม่มีการปูเรื่องระหว่างนั้นเลย (ตัวเรื่องตัดสคิปข้ามเวลาจากที่วันแรกมา 9 เดือนทันที) การเดินทางที่พยายามไปบอสตันก็ดูดันทุรังแบบค่อนข้างงี่เง่า อย่างหลายฉากในเรื่องนี้มักฝนตก แต่ทั้งคู่ก็ยังเดินลุยกันไปเรื่อยๆ ไม่พัก ทั้งๆ ที่นางเอกท้อง 9 เดือนเลยกำหนดคลอด ไม่น่ามาลุยป่าทำอะไรขนาดนี้ได้เลย หรือการมีที่พักเรียบร้อยดีแต่กลับติดสินใจไปต่อ ด้วยเหตุผลแค่ว่าต้องรีบไปเดี๋ยวคลอดแล้วเด็กร้องจะเดินทางไม่สะดวก มันเป็นเหตุผลที่ฟังดูแล้วเติ้นเขินมากๆ แต่เรื่องก็พยายามบีบให้ทั้งคู่ต้องไปให้ได้ ซึ่งบอกเลยว่าไม่อินเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งดราม่าตอนจบที่พยายามบิ้วยืดยาวด้วยฉากสโลวสุดๆ จนทำให้ดูน่ารำคาญกับความพยายามดราม่าอะไรแบบนี้มากเกินไปของเรื่อง โดยแทบไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าบทดูเป็นธรรมชาติชวนให้อินได้เลยจริงๆ
ตัวหนังยังมีพล็อตรองซ่อนไว้อีกอย่างในปมไซไฟใหญ่ของเรื่องว่า สงครามระหว่างหุ่นแอนดรอยด์กับคนที่เหลืออยู่เป็นยังไง และจะปิดจบสงครามครั้งนี้ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องก็เซ็ตโลกให้เห็นคร่าวๆ ว่าอเมริกาแทบแหลกสลายหมดแล้วเหลือแค่ทหารที่ตั้งค่ายต่อสู้ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการพูดถึงประเทศอื่นว่าเป็นเหมือนกันหรือไม่ เกาหลีปลอดภัยจริงหรือ ตรงนี้เป็นปมเล็กๆ ที่ชวนให้ดูติดตามได้อยู่ เพราะผู้ชมเองก็อยากรู้ว่าเนื้อเรื่องจะมีส่วนไหนไปไขปริศนาสงครามนี้ได้บ้างหรือไม่ ซึ่งตัวเรื่องมีบอกเหมือนไม่บอกว่าทำไมหุ่นถึงลุกมาฆ่าคนผ่านตัวละครหลักอีกคนที่ชื่อ “อาเธอร์” ที่เป็นโปรแกรมเมอร์ของบริษัทที่ผลิตหุ่นพวกนี้ขึ้นมาแล้วเขารอดชีวิตอยู่ในรถบรรทุกในป่า ที่ในนั้นเหมือนหลุมหลบภัยพร้อมเครื่องมือต่างๆ นาๆ มากมาย ซึ่งอาเธอร์เองจะโผล่มากลางเรื่องไป และเป็นตัวละครสำคัญที่เกี่ยวพันกับสงครามหุ่นกับมนุษย์ในแบบที่คาดไม่ถึงพอสมควร ซึ่งเข้าใจว่าผู้เขียนบท Mattson Tomlin ก็คงตั้งต้นเรื่องนี้จากไอเดียนี้แหละ แล้วก็ต่อยอดให้มีตัวละครคู่รักเดินทางฝ่าโลกไซไฟหุ่นล้างโลกตามมา แต่ถึงจุดนี้จะทำออกมาได้ดีพอสมควร แต่เรื่องราวหลังจากนั้นไปกลับไม่ได้ดีตามเลย กลายเป็นความพยายามบิ้วเรื่องให้ดูใหญ่โต แต่กลับไม่มีทุนพอสร้างฉากใหญ่โตอะไรแบบนั้นได้ ก็เลยกลายเป็นฉากไซไฟใหญ่แบบลวกๆ ที่ไม่เร้าอารมณ์ไม่ชวนให้น่าตื่นเต้นตามได้เลยสักนิด แถมอาจจะมีงงเล็กๆ ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อาเธอร์กลายเป็นหุ่นที่ปลอมตัวมาหลอกช่วยนางเอกเพื่อพาให้ตัวเองเข้าไปถึงในฐานบอสตันเพื่อจัดการมนุษย์ในนั้น
นอกจากนี้ส่วนที่แย่ของเรื่องคืองานโปรดักชั่นที่งบคงจำกัดมาก น่าจะเพราะต้องจ่ายให้น้องโคลอี้ซะเยอะเลยไม่เหลือพอให้สร้างงานที่ดูดีได้เลย ตั้งแต่หุ่นแอนดรอยด์ในเรื่องที่ทำมาเหมือนซอมบี้วิ่งไวๆ มากกว่า แล้วก็ใช้การแต่งหน้าแบบผิวหนังหลุดเห็นโครงเหล็กด้านใน ทั้งเรื่องจะใช้ประมาณนี้อยู่ตลอด ไม่มีโครงเหล็กทั้งตัวแบบหนังคนเหล็กให้เห็นเลย ซึ่งมันดูปลอมๆ มากในยุคนี้ที่ CG ไปไกลกว่านั้นมากมายแล้ว นอกจากนั้นก็มีโดรนติดตามตัวเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างในเรื่องที่เซ็ตไว้ว่าหุ่นล้างโลก ซึ่งโดรนนี่ก็ดูเหมือนของเด็กเล่นมากๆ แล้วก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากด้วย แล้วพองบจำกัด ฉากยิงต่อสู้อะไรก็น้อยตามไปด้วย ฉากทหารต่อสู้กับหุ่นในเรื่องก็ออกมาแบบกากๆ คือหุ่นวิ่งเข้าใส่ทำร้ายตรงๆ แต่ทหารมีปืนมากมายกลับสู้ไม่ได้เลยจนดูไม่สมเหตุผลเอามากๆ ซึ่งโลกในเรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยความไม่สมเหตุผลมากมายก่ายกอง รวมถึงความไม่พยายามอธิบายอะไรคนดูมากด้วย เหมือนคนเขียนบทกลัวที่จะเล่าลึกแล้วต้องมีฉากแสดงให้เห็น ก็เลยตัดว่าไม่ต้องเล่าอะไรเลยดีกว่า ทั้งเรื่องเราจึงแทบไม่ได้เห็นโลกกว้างอะไรเลย มีแต่อยู่ป่ากับในค่ายทหารอีกนิดหน่อยเท่านั้น
ส่วนใครที่เป็นแฟนน้องโคลอี้แล้วคิดว่ามาดูเธอเล่นก็น่าจะคุ้ม ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็แฟนติดตามผลงานน้องคนหนึ่ง ก็ถือว่าดูได้ไม่เสียหายอะไร เพราะเธอก็เหมือนช่วยแบกหนังทั้งเรื่องไว้อยู่แล้ว โดยที่บทแซมที่ Algee Smith ก็ไม่ค่อยโดดเด่นอะไรมาก ซึ่งตัวโคลอี้เองต้องรับบทสาวท้องแก่ที่อารมณ์เหวี่ยงอยู่ตลอด แต่ก็พยายามจะเข้าใจสิ่งที่แฟนทำ แล้วก็พยายามช่วยแฟนอย่างถึงที่สุดโดยไม่ห่วงตัวเองกับลูกเลย ซึ่งบทมันไม่สมเหตุผลอยู่แล้ว แต่หน้าสวยๆ ของน้องก็ช่วยให้เราทนดูจนจบได้
สรุป Mother/Android ดีหรือไม่?
สั้นๆ เลยว่าแทบไม่มีส่วนดีพอให้ชมได้ในเรื่องเลยจริงๆ ทุกอย่างในเรื่องเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุผล ขาดรายละเอียดลงลึกถึงสงครามล้างโลกในเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ ฉากแอ็กชั่นดาดๆ ปมสำคัญของเรื่องหลังเฉลยก็ทำออกทิ้งๆ ขว้างๆ ตอนจบพยายามบิ้วด้วยฉากซึ้งๆ ยืดยาวจนไม่เป็นธรรมชาติ ก็เลยทำให้ทุกอย่างดูปลอมมากขึ้นไปอีก