ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

The Tomorrow War ข้ามเวลา หยุดโลกวินาศ (2021) [บรรยายไทย]

The Tomorrow War ข้ามเวลา หยุดโลกวินาศ (2021) [บรรยายไทย] เต็มเรื่อง ชนโรง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังผจญภัย , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนังดราม่า

เรื่องย่อ : The Tomorrow War ข้ามเวลา หยุดโลกวินาศ (2021) [บรรยายไทย]

ชื่อภาพยนตร์: The Tomorrow War ข้ามเวลา หยุดโลกวินาศ (2021)
ผู้กำกับภาพยนตร์: Chris McKay
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Zach Dean
นักแสดง: Chris Pratt,Yvonne Strahovski, J.K. Simmons
แนว/ประเภท: แอคชั่น, ผจญภัย, ไซไฟ
ความยาว:
วันที่ฉาย: 2 กรกฎาคม 2021
 




ทหารในอนาคตเดินทางข้ามเวลามาจากปี 2051 เพื่อบอกข้อความเร่งด่วน อนาคตในอีก 30 ปี มนุษยชาติกำลังจะพ่ายแพ้สงครามในการสู้กับเอเลี่ยน จนประชากรบนโลกเหลือเพียงแค่ 5 แสนคนความหวังเดียวในการรอดชีวิตคือการส่งทหารและพลเรือนไปอนาคตเพื่อร่วมต่อสู้ ตัวเอก แดน ฟอเรสเตอร์ อดีตทหารผ่านศึกจากอิรักถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบในศึกแห่งอนาคต ก่อนจะพบความลับบางอย่างที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะหยุดสงครามครั้งนี้ได้


IMDB : tt9777666

คะแนน : 6.8

รับชม : 23991 ครั้ง

เล่น : 10087 ครั้ง



 

แม้หนังจะใช้เวลาปูหลายอย่างนานถึงเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะข้ามเวลาไปอนาคต แต่พอเข้าเรื่องส่วนนี้ตัวเรื่องก็จุดติดเดินเครื่องแบบแทบไม่แตะเบรค เข้าสู่โลกช่วงหายนะท้ายสงครามเอเลี่ยนทันที แต่ก็ยังพยายามปิดบังโฉมหน้าเอเลี่ยนในเรื่องไว้อีกสักพัก ซึ่งตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่มีฉากไหนให้เห็นตัวจะๆ เลย (มีแต่ไกลลิบๆ) ซึ่งจุดนี้ถูกอธิบายเหตุผลไว้ในช่วงแรกว่า ถ้าสังคมในปัจจุบันได้เห็นเจ้านี่จะไม่มียอมเป็นทหารเกรฑ์มารบแน่ๆ ซึ่งการปิดบังหน้าเอเลี่ยนก็ทำให้คนดูเองรู้สึกอึดอัดกับการเห็นทีละนิดๆ ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วจะร้ายกาจขนาดถล่มโลกแบบนี้ได้จริงๆ หรือ ซึ่งพอตัวเรื่องเปิดให้เห็นเราก็เข้าใจในทันทีว่า เอเลี่ยนในเรื่องนี้โหดจริงๆ ในระดับเดียวกับมิมิค Edge of Tomorrow แต่มาในชื่อ White Spike (ไวท์สไปก์ เดือยแหลมสีขาว ชื่อมาจากตัวเอเลี่ยนในเรื่องยิงเดือยแหลมมาเป็นอาวุธระยะไกลได้) และก็มาเป็นฝูงนรกมหาศาลแบบเดียวกัน (ให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นซอมบี้ world war z ในบางฉากอีกด้วย)

ซึ่งพอเรื่องเผยให้เห็นเอเลี่ยนนี้แล้วก็ได้เวลาจัดเต็มฉากแอ็กชั่นระดับหนังบล็อกบัสเตอร์กันจริงๆ ในชั่วโมงแรก แอ็กชั่นที่เรียกว่าลุ้นต่อเนื่องกันขนาดลืมหายใจได้เลย แถมยังแค่ครึ่งเรื่อง ฉากแอ็กชั่นหลังจากนี้ก็มีตามมาติดๆ มีไปบุกรังเอเลี่ยนในป่า มีฉากฝูงเอเลี่ยนมารุมถล่มฐานที่ตั้งเครื่องย้อนเวลาในทะเล ซึ่งแต่ละฉากจัดเต็มกันในระดับพีคแล้วพีคอีกไม่มีหยุด โดยมีความโหดเลือดสาด ตัวขาด ชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์หลุดว่อนกันตลอด แต่ก็ไม่อุจาดเพราะแค่เห็นแวบๆ แค่นั้น

 

รีวิว THE TOMORROW WAR แอ็กชั่นไซไฟถล่มเอเลี่ยนที่มันส์สุดๆ ไม่แพ้ Edge of Tomorrow (ไม่มีสปอยล์) 6


ในระหว่างที่ฉากแอ็กชั่นใส่กันมาตูมๆ แบบไม่ยั้ง ตัวเรื่องก็มีช่วงคั่นพักสั้นๆ เป็นดราม่าของพระเอกกับผู้พันทหารหญิงที่นำรบในครั้งนี้ และก็เกี่ยวกับปมเส้นเวลาของเรื่องที่จะเป็นกุญแจสำคัญหยุดยั้งสงคราม ซึ่งคนดูคงคาดเดาได้บ้าง เพราะพล็อตแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่ซะทีเดียว แต่ในความโหลของพล็อตตรงนี้สิ่งที่ดีๆ ก็คือการที่เรื่องผูกปมเคลียร์ปมทุกอย่างได้หมดจรดทุกรายละเอียด ตั้งแต่ที่มาของเอเลี่ยนว่ามาจากไหน การหยุดยั้งสงครามนี้ต้องทำอย่างไร การเดินทางข้ามเวลาของพระเอกใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ รวมถึงปมดราม่าครอบครัวของพระเอกที่คริสก็เล่นได้ดีกับลูกสาวตัวน้อย  ไปจนถึงตัวเพื่อนร่วมทีมที่เป็นบทสมทบช่วงตอนรบก็ยังนำใช้เป็นทีมสำคัญที่จะส่งไปถึงองค์สุดท้ายของเรื่อง ที่ต้องบอกเลยว่า ใครที่คิดว่าเรื่องนี้จบลงในยุคอนาคตนี่ไม่ใช่เลย เพราะหนังเรื่องนี้มีช่วงจบ 2 ก็อก อนาคตกับปัจจุบัน ที่ตัวเรื่องในองค์สุดท้ายคือการกลับมาแก้ไขปัญหาในสังคมที่ใกล้ล่มสลายก่อนเอเลี่ยนบุกด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวเรื่องแม้จะสเกลแอ็กชั่นเล็กลงจากในอนาคต แต่ว่าก็เป็นความระทึกอีกแนวในแบบเอเลี่ยน 2 หรือแอบคล้ายๆ The Thing (ไอ้ตัวเขมือบโลก) อยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความสนุกมันส์ปิดท้ายเรื่องไปอีกแบบ ได้ไม่แพ้ฉากฝูงเอเลี่ยนถล่มในอนาคตเลย


THE TOMORROW WAR



ตัวเรื่องต้องบอกว่าโคตรมันส์และดูเพลินสนุกมากๆ (จนแอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลงโรงให้คนดูในวงกว้างมากกว่านี้) บอกตรงๆ ว่าถ้าให้คิดข้อเสียหรือจุดด้อยของเรื่องหลักๆ คงมีแค่ การที่เรื่องมีความคล้ายหนังดังหลายๆ เรื่องแบบหยิบยืมนั่นนี่มาผสมกันเท่านั้น จนดูแอบโหลแล้วก็เดาเรื่องได้ไม่ยาก ซึ่งถ้าใครได้ดู Edge of Tomorrow ก็คงรู้สึกได้เลยถึงความเหมือน แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าชอบ Edge แล้วรอภาคสองอยู่ เรื่องนี้ก็คือทดแทนกันได้เลย

อีกจุดที่รองลงมาคือพวกเหตุผลกับทฤษฎีเส้นเวลาต่างๆ อาจจะไม่ได้เน้นนัก คือตัวเรื่องก็พยายามอธิบายหลายๆ อย่างให้มีเหตุผล แต่มันก็ยังพอช่องโหว่ให้ถกเถียงกันอยู่บ้าง รวมถึงสถานการณ์ในช่วงท้ายเรื่องที่แอบจิกกัดอเมริกากับรัสเซียรวมถึง UN ด้วย มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือไปหน่อยว่าประเทศมหาอำนาจของโลกในช่วงเวลาคับขันระดับสิ้นโลกนี้ยังดูงี่เง่าเกินไปหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก มันก็คือเรื่องแบบเดิมๆ ที่หนังแนววันสิ้นโลกใช้กัน ที่ให้ตัวเอกได้โอกาสช่วยโลกด้วยตัวเองมากกว่าไปพึ่งรัฐบาลเหล่านี้