Let Him Go จัดเป็นหนังแนวคาวบอยยุคใหม่ที่กล้าหาญชาญชัยมาก
เพราะเป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ฉายลงโรงในอเมริกาช่วง โควิด19 ระบาดอย่างหนัก (เดือน พย)
แม้หนังจะทำรายได้ไม่มากเพียง $10กว่าล้าน
ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี แต่ก็เพราะว่าอย่างที่ทราบคือช่วงนั้นใครจะเข้าโรงไปดูหนัง
เมื่อพูดถึงหนังคาวบอยหรือเวสเทิร์นสำหรับคนไทยอาจเบือนหน้าหนีเพราะไม่ค่อยคุ้น
แต่ใน Let Him Go นั้นหนังเป็นแนวโมเดิร์นที่ไม่ได้เน้นเอาคาวบอยมาดวลปืนกัน
แต่เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวของชาวไร่ชาวบ้านอเมริกันที่อยู่แถบตะวันตกที่ผสมแนวต่างๆเข้ามา
ในเรื่องนี้หนังผสมดราม่าเจือทริลเลอร์เล่าเรื่องราวของครอบครัวชนบทในมอนทาน่า
ที่มี จอส (ปู่) มากาเรต (ย่า) เจมส์ (ลูกชาย) ลอน่า (ลูกสะใภ้) และ จิมมี่ (หลานชาย) อยู่เลี้ยงม้าทำไร่กันไปอย่างสงบๆ
อยู่มาวันหนึ่ง เจมส์ ตาย (สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากตกม้า) ครอบครัวก็ไม่ติดใจอะไร
สามปีต่อมา ลอน่า แต่งงานใหม่กับ ดอนนี่ วีบอย แล้ว ลอน่า กับ จิมมี่ย้ายไปอยู่ในเมืองกับ ดอนนี่
อยู่มาวันหนึ่ง มากาเรต เห็น ดอนนี่ ตี ลอน่า กับ จิมมี่ ในเมือง เธอเลยไม่สบายใจ
แต่กว่าจะไปหาฝั่ง ดอนนี่ และ ลอน่า ก็ย้ายบ้านหายตัวไป
ทำให้ มากาเรต ต้องตามหาและสืบรู้ว่า ดอนนี่ ย่ายกลับไปบ้านเกิดที่ นอร์ท ดาโกต้า
ทุกอย่างเหมือนจะง่ายแค่ไปตามเอาหลานกลับมา แต่ครอบครัววีบอย ดันเป็นครอบครัวที่ไม่น่าไว้ใจ
เลยเป็นการชิงหลานกลับมาที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว
หนังดำเนินเรื่องราวกับหนังรางวัล
คือ งานกล้อง งานภาพ แสงสี จัดองค์ประกอบออกมาได้อย่างนุ่มนวลและสวยงาม
พล็อตเรื่องก็แข็งแรง คือ มีเนื้อมีหนังเล่าเรื่องราวละเอียดดี ช่วงทริลเลอร์ก็เข้มข้นกดดัน
การแสดงก็ดี
ดูไปเผลอๆอาจมีเข้าชิงออสการ์ได้ (ถ้าปีนี้จัด)
แต่ช่วงกลางเรื่องจากดราม่าที่กำลังจะเชื่อมไปทริลเลอร์ดำเนินเรื่องช้าไปหน่อยถึงช้ามาก
เพราะหนังดันให้น้ำหนักกับฉากหลังและใส่ความโรแมนติกของคู่ จอส กับ มากาเรต เยอะไปนิดนึง
ทำให้มันสโลเบิร์นมากกว่าจะไปตื่นเต้นช่วงท้าย
สรุปถือเป็นหนังดีเรื่องหนึ่ง
หากใครคุ้นเคยกับการดำเนินเรื่องแนวเวสเทิร์น(คาวบอย)ยุคใหม่ แบบ Unforgiven (1992), หรือ No Country for Old Men (2007) ก็ดูได้เลย