หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังผจญภัย , หนังดราม่า
เรื่องย่อ : The Yinyang Master หยิน หยาง ศึกมหาเวท (2021) [บรรยายไทย]
ชื่อภาพยนตร์: The Yinyang Master หยิน หยาง ศึกมหาเวท (2021)
ผู้กำกับภาพยนตร์: จิง หมิง กั๋ว
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: จิง หมิง กั๋ว
นักแสดง: Mark Chao , Allen Deng , Ziwen Wang
แนว/ประเภท: แอ็คชั่น , ดราม่า , แฟนตาซี
ความยาว: 2 ชม. 12 นาที
วันเข้าฉาย: 5 กุมภาพันธ์ 2564
สงครามข้ามภพปะทุขึ้น ฉิงหมิง ปรมาจารย์หยินหยางต้องผนึกกำลังกับหยวนป๋อหย่า องครักษ์ที่ถูกถอดยศ เพื่อปราบมารและสกัดแผนสมคบคิดอันชั่วร้าย
IMDB : tt12151820
คะแนน : 5.7
รับชม : 2895 ครั้ง
เล่น : 916 ครั้ง
ต้องอธิบายก่อนว่า The Yin Yang Master เวอร์ชั่นนี้ ไม่ใช่ภาคต่อจากภาค Dream of Eternity ที่เคยฉายใน Netflix มาก่อนหน้านี้ ทั้งสองภาคไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
ภาค Dream of Eternity รีเมคจากต้นฉบับนิยาย Onmyoji แล้วใส่ความวายลงไปในเรื่องเพื่อให้เป็นจุดขาย
แต่สำหรับภาคนี้ เป็นการรีเมคจากเกมมือถือ Onmyoji ซึ่งเป็นแนว RPG ไม่มีความจิ้นวาย แต่เป็นแนวแอ็คชั่นแฟนตาซี ดราม่า และแอบแทรกตลกไร้สาระเข้ามา แบบจัดเต็มกันเลย
สำหรับต้นฉบับนิยาย เป็นผลงานคลาสสิกของญี่ปุ่น เขียนโดย บาคุ ยูเมะมาคุระ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 เล่าเรื่องราวขององเมียวจิในตำนานที่ชื่อ อาเบะ โนะ เซย์เมย์ ซึ่งในฉบับจีนทั้งสองเวอร์ชั่นใช้คำว่าปรมาจารย์จอมเวทย์หยินหยาง
ตามตำนานแล้ว เซย์เมย์ เป็นองเมียวจิที่มีตัวตนจริง และมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยเฮอัน มีความสามารถในด้านวิชาเวทย์มนต์และการควบคุมเหล่าปีศาจและภูติรับใช้มาเป็นบริวารของตนเอง แล้วยังเชื่อว่าเขาเป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจจิ้งจอกด้วย
เรื่องราวขององเมียวจิและเซย์เมย์นั้นได้รับความนิยมทั่วเอเชีย สร้างอิทธิพลมากมายในด้านวรรณกรรม ภาพยนตร์ สื่อบันเทิงต่างๆ อนิเมะ ซีรีส์ ไปจนถึงเกมออนไลน์ ทางจีนเองก็ซื้อลิขสิทธิ์เอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งสองเวอร์ชั่นที่เราเห็นกัน
ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ ต้องยอมรับเลยว่า นี่แหละคือ ปรมาจารย์หยินหยาง ที่ผู้เขียนคาดหวังว่าจะได้รับชม แถมสร้างออกมาได้ดีกว่าที่คิด ได้กลิ่นอายของหนังจีนกำลังภายในและแฟนตาซีจากยุค 90 และต้นยุค 2000 ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น CG กราฟฟิก ที่อาจจะดูลอยๆและเฟคไปบ้างในบางจุด แต่ในภาพรวมแล้วก็ถือว่าทำได้ดีในระดับมาตรฐาน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด ไม่ได้ทำให้เรื่องออกมาโทนมืดหม่นเกินไป แม้ว่าเอาเข้าจริงตัวเรื่องมันแอบดาร์กและดราม่าพอสมควร สำหรับฉากแอ็กชั่นถือว่าจัดเข้ามาแทบจะตลอดเรื่อง เรียกว่ามีช่วงเวลาให้พักจากฉากแอ็คชั่นพอเพลาๆ แล้วก็กลับมาลุยกันใหม่
จุดที่ผู้เขียนรู้สึกชอบก็คือ การสอดแทรกมุขตลก เฮฮาบ้าบอ เข้ามาในระหว่างฉากต่อสู้ และการเซตติ้งฉากแนวชุลมุนวุ่นวาย ที่ให้เหล่าตัวเอกต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ เรียกว่าใครชอบหนังจีนแนวบู๊ในยุคก่อนจะชอบเรื่องนี้ไม่ยากเลยครับ
ตัวหนังยังมีการเล่นกับประเด็นของ “คนนอก” ที่ถูกกีดกันจากสังคม ซึ่งในเรื่องนี้ก็นำเสนอออกมาเป็นเหล่าปีศาจ ที่ถูกกีดกันและรังเกียจจากมนุษย์ แถมในบรรดาปีศาจเหล่านั้น ก็ยังมีปีศาจอีกกลุ่มที่ถูกทอดทิ้งเช่นกัน ตัวเอกอย่างฉิงหมิง ซึ่งเป็นคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างมนุษย์และปีศาจจึงเลือกที่จะสร้าง “บ้าน” ให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้พักพิง
จุดเด่นอีกเรื่องคือ การแสดง ที่ต้องยอมรับว่า เฉินคุน และ โจวซวิ่น เป็นสองนักแสดงมากฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ทั้งเคมีในการเข้าฉากและการแสดงอารมณ์ต่างๆ ในขณะที่นักแสดงบทรองๆคนอื่นก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แม้ว่าตัวละครรองแต่ละคนจะไม่ได้มีการปูพื้นเพมามากนัก
อีกจุดที่ผู้เขียนชอบก็คือ การใส่บทบาทของเหล่าปีศาจเข้ามาในเรื่องราวมากมายหลายตัว ปีศาจในเรื่องก็ดีไซน์ออกมาดูแล้วน่ารักน่าชังมากกว่าจะน่ากลัว ดูแล้วลุ้นเอาใจช่วยให้พวกปีศาจหลายตัวรอดกันในตอนจบ
สำหรับจุดด้อยของเรื่องก็มีอยู่ไม่น้อยครับ เนื่องจากตัวเรื่องมีเนื้อหาและรายละเอียดมาก ขนาดตัวหนังมีเวลาถึง 2 ชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอด้วยซ้ำ ทำให้การเดินเรื่องค่อนข้างเร็วจัด ตัวละครหลายคนถูกโยนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในแบบที่ไม่มีเวลาปูบทให้มากนัก แต่เท่าที่ทำไว้ในเรื่องก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งเลย
อีกจุดที่ยังดูขัดๆ ก็คือ CG ที่บางฉากดูเฟคและลอยไปนิด แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเรื่องนี้ทุ่มงบให้กับด้านนี้ตลอดเรื่อง มันจะมีหลุดบ้างก็ไม่แปลกครับ ส่วนตัวเนื้อเรื่องก็มีหักมุมบ้าง ตามสไตล์ของหนังจีนแนวนี้ แต่ก็ถือว่าเดาตัวร้ายได้ไม่ยากมาก ถ้าดูแนวนี้บ่อยๆ
สำหรับบทสรุปของหนังเรื่องนี้ก็ยังสามารถสร้างภาคต่อหรือต่อยอดได้อีกเยอะ ถ้าจะสร้างครับ แล้วหากจะให้เปรียบเทียบกับเวอร์ชั่น Dream of Eternity ต้องยอมรับว่าส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่า เพราะให้ความสำคัญกับเหล่าตัวละครตัวเล็กตัวน้อยและเหล่าปีศาจต่างๆในเรื่องมากกว่าด้วยครับ ที่สำคัญคือมันได้กลิ่นอายของหนังจีนยุคก่อนด้วย